“สุดารัตน์”ประกาศนโยบายจชต.ใต้เศรษฐกิจนำการเมือง-การทหาร

“สุดารัตน์”ประกาศนโยบายจชต.ใต้เศรษฐกิจนำการเมือง-การทหาร

“สุดารัตน์” บุกชายแดนใต้ รุดให้กำลังใจพี่น้อง หลังเกิดเหตุความไม่สงบต่อเนื่อง ประกาศนโยบาย”สร้างสันติภาพด้วยมือประชาชน” เน้นเศรษฐกิจนำการเมือง การทหาร ยกระดับเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว-การผลิตสินค้าฮาลาล ชี้ต้องปรับปรุงกฎหมายพิเศษ

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย พร้อมคณะผู้บริหารพรรค ดร.ศักดิ์ณรงค์ ศิริพร ณ ราชสีมา อดีตส.ส.นาตยา แดงบุหงา ทีมไทยสร้างไทยปัตตานี น.ส.มูนีเร๊าะห์ ปอแซ ว่าที่ผู้สมัครส.ส.ยะลาเขต 1 นายอิบรอฮีม ยานยา ว่าที่ผู้สมัครส.ส.ปัตตานี เขต 4 และทีมไทยสร้างไทยจังหวัดปัตตานี และยะลา เดินทางลงพื้นที่ชายแดนใต้ เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจพี่น้องจากเกิดเหตุความรุนแรงในหลายพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ พร้อมสร้างขวัญกำลังใจ และเปิดนโยบายสร้างเศรษฐกิจ สร้างสันติภาพ เน้นเศรษฐกิจนำการเมืองและการทหาร 

“สถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานกว่า 18 ปี เป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายของรัฐที่ไม่เข้าใจในวัฒนธรรม และไม่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ในพื้นที่ ที่มีความละเอียดอ่อน ซับซ้อน และเชื่อมโยงกันในหลายมิติ ทั้งในเชิงวัฒนธรรม และโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม”

โดยเหตุการณ์ล่าสุดมีการระเบิดตามจุดต่างๆในพื้นที่ชายแดนใต้กว่า 17 จุด เป็นการสิ่งที่ผู้ก่อความไม่สงบได้ส่งสัญญาณไปยังผู้มีอำนาจอย่างชัดเจน ดังนั้นแนวทางการแก้ไขปัญหา จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนต้องแก้ไขอย่างจริงจังและต่อเนื่องอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะความเข้าใจในวัฒธรรม และอัตลักษณ์ ในระดับที่ประชาชนในพื้นที่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นธรรม เพื่อแสวงหาสันติภาพ 
 

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวต่อว่า พรรคไทยไทยสร้างไทย จึงมีนโยบายสร้างสันติภาพด้วยมือประชาชน เพื่อให้มีการพัฒนาเศรษฐกิจที่สอดรับกับวิถีอัตลักษณ์ และการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ เน้นเศรษฐกิจนำการเมือง และการทหาร โดยน้อมนำพระราชดำรัสในหลวงรัชกาลที่ 9 “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มาปฏิบัติ

ทั้งนี้ เพื่อจุดมุ่งหมาย ทำให้เกิดความปลอดภัยของสามจังหวัด ทั้งพี่น้องมุสลิม และชาวพุทธ สร้างเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนใต้ให้ยั่งยืน และแข็งแรง ด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจที่สอดรับกับวิถีอัตลักษณ์ และการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ดึงดูดพี่น้องมุสลิมจากมาเลเซียและอินโดนีเซีย รวมถึงออกแบบให้จังหวัดชายแดนใต้เป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าและการให้บริการฮาลาล โดยเฉพาะการผลิตและแปรรูปสินค้าเกษตร-อาหารอุตสาหกรรมการให้บริการการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นจุดแข็งในพื้นที่
 

พร้อมทั้งปรับปรุงกฎหมายพิเศษ ทั้งกฎอัยการศึก และพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ 2548 ที่ประกาศใช้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ และพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรพ.ศ.2551 ให้มีความเป็นธรรม และมีมาตรฐานที่ชัดเจน ซึ่งต้องการให้มีการนำกระบวนการยุติธรรมทางอาญาปกติมาใช้บังคับแทนกฎหมายพิเศษดังกล่าว 

“คำถามที่เราจะต้องหาคำตอบร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ก็คือ 18 ปีที่ผ่านมานั้น รัฐบาลใช้จ่ายงบประมาณไปเป็นจำนวนมหาศาลกว่า 3.3 แสนล้านบาท แต่ประชาชนยังต้องเผชิญกับสถานการณ์ความไม่สงบอย่างต่อเนื่อง เผชิญกับความยากจน ทั้งๆที่สามจังหวัดชายแดนใต้เป็นพื้นที่ ที่มีศักยภาพสูง  สามารถพัฒนาให้เกิดรายได้ที่มั่นคงให้กับประชาชนได้ ถ้าไม่ลงมือเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารจัดการพื้นที่ตั้งแต่วันนี้ แล้วในอีก 10 ปีหรือ 20 ปีข้างหน้าสถานการณ์ชายแดนใต้จะเป็นอย่างไร เราจะต้องใช้งบประมาณไปอีกเท่าไหร่ พี่น้องประชาชนจะเกิดการสูญเสียชีวิต และเสียโอกาสไปอีกเท่าไหร่”คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว