“ทักษิณ” ชนะคดีภาษีหุ้น “ชินคอร์ป” 1.7 หมื่นล้านบาท ชี้คำสั่งกรมสรรพากรมิชอบ

“ทักษิณ” ชนะคดีภาษีหุ้น “ชินคอร์ป” 1.7 หมื่นล้านบาท ชี้คำสั่งกรมสรรพากรมิชอบ

ศาลภาษีอากรกลางพิพากษา “ทักษิณ” ชนะคดีกรมสรรพากร สั่งเพิกถอนการประเมินเก็บภาษีขายหุ้น “ชินคอร์ป” กว่า 1.7 หมื่นล้านบาท ชี้ดำเนินการไม่ชอบด้วยกฎหมาย เหตุออกหมายเรียก “พานทองแท้ - พินทองทา” มาประเมินแทนตัวเอง

เมื่อวันที่ 8 ส.ค.2565 ศาลภาษีอากรกลาง อ่านคำพิพากษาคดีความแพ่ง หมายเลขดำ ภ.220/2563 ระหว่าง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง กรมสรรพากร จำเลยที่ 1 นายพงษ์ศักดิ์ เมธาพิพัฒน์ จำเลยที่ 2 นายประภาส สนั่นศิลป์ จำเลยที่ 3 นายพิสิทธิ์ ศรีวรานันท์ จำเลยที่ 4 กรณีประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากการขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ "ชินคอร์ป" จำนวน 17,000 ล้านบาท โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

โดยศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า การที่เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ถือเอาการออกหมายเรียกนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรสาว ในฐานะตัวแทนเชิด เป็นการออกหมายเรียกโจทก์ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากรในฐานะตัวการ เป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการประเมินต้องออกหมายเรียกไปยังโจทก์ซึ่งเป็นผู้ถูกประเมินโดยตรง

 

แต่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานประเมิน มิได้ออกหมายเรียกตรวจสอบโจทก์ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับนิติกรรมที่ทำขึ้น ไม่ก่อให้เกิดการโอนกรรมสิทธิ์ในหุ้นของบริษัท ชินคอร์ป แต่อย่างใด โดยยังถือว่าโจทก์เป็นเจ้าของหุ้นบริษัทดังกล่าวอยู่

ประกอบกับนิติกรรมที่ทำขึ้นภายหลังจากนั้น ก็ไม่ก่อให้เกิดการโอนกรรมสิทธิ์ในหุ้นของ บริษัท ชินคอร์ป แต่อย่างใด เพราะนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ไม่ใช่เจ้าของหุ้นที่แท้จริง

โดยตามข้อกฎหมายมาตรา 19  จึงยังต้องถือว่านายทักษิณ เป็นเจ้าของหุ้น บริษัท ชินคอร์ป ดังกล่าวอยู่ ที่พวกจำเลยให้โจทก์เสียภาษี อย่างผู้มีรายได้พึงประเมินนั้น โจทก์จึงมิใช่ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 และมิใช่ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร มีผลทำให้การประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2-4 ในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่วินิจฉัยยืนตามการประเมิน ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน แต่เจ้าพนักงานประเมิน และจำเลยที่ 2-4 กระทำไปตามอำนาจหน้าที่จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว

ศาลภาษีอากรกลาง พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12) และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2-4 ในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

สำหรับคดีนี้เกิดขึ้นภายหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาคดีร่ำรวยผิดปกติ กรณีอัยการสูงสุด (อสส.) ยื่นฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มูลค่าทรัพย์สินกว่า 76,000,000,000 บาท (7.6 หมื่นล้านบาท) พร้อมดอกผลที่ได้มาจากการขายหุ้น บริษัท ชินคอร์ป ตกเป็นของแผ่นดิน

อย่างไรก็ดี องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา พิพากษาว่า นายทักษิณ ใช้อำนาจขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ออกนโยบายเอื้อประโยชน์ บริษัท ชินคอร์ป ที่ครอบครัวถือหุ้น ทำให้มีทรัพย์สินร่ำรวยผิดปกติ จึงให้ยึดทรัพย์สินในส่วนของนายทักษิณ และครอบครัว ที่ได้จากการขายหุ้น บริษัท ชินคอร์ป จำนวน 46,000,000,000 บาท (4.6 หมื่นล้านบาท) พร้อมดอกผล ตกเป็นของแผ่นดิน

หลังจากนั้นระหว่างปี 2549-2552 กรมสรรพากรได้ประเมินภาษีโอนหุ้น บริษัท ชินคอร์ป กับนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ทำนองว่าเป็นตัวแทนของนายทักษิณ จึงต้องเก็บภาษีจากคนทั้งสอง รวมวงเงิน 1.7 หมื่นล้านบาท จนนำมาสู่การฟ้องร้องคดีนี้

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์