“เลขาฯก้าวไกล” รับไม่ได้รีเซ็ตระบบเลือกตั้งย้อนกลับปี 62 ทำลายนิติบัญญัติ

“เลขาฯก้าวไกล” รับไม่ได้รีเซ็ตระบบเลือกตั้งย้อนกลับปี 62 ทำลายนิติบัญญัติ

“ชัยธวัช” รับไม่ได้รีเซ็ตระบบเลือกตั้งใหม่ ย้อนกลับไปแบบปี 62 ลั่นทำลายหลักการนิติบัญญัติ รับ “สมศักดิ์” มาหารือ ส.ส.ก้าวไกล บางคนจริง แต่แค่รีเช็กข้อมูล ไม่ได้หมายความแบบนั้น เผยผู้มีอำนาจเคยขอให้ผลักดันสูตรหาร 500 แต่ปฏิเสธไป

เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2565 นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “เจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่องโมเดิร์นไนน์ ถึงประเด็นการเตรียมรื้อร่างกฎหมายลูกเลือกตั้ง ส.ส. โดยจะกลับไปใช้บัตรใบเดียว และใช้กติกาเลือกตั้งแบบปี 2562 พรรคก้าวไกลมีจุดยืนอย่างไร ว่า เรามองว่าการย้อนกลับไปถึงขนาดแก้ไขรัฐธรรมนูญกลับไปใหม่ เป็นระบบการเลือกตั้งแบบปี 2562 คิดว่ามันสายเกินไปแล้ว เรื่องนี้สะท้อนเห็นชัดว่า ไม่ได้ออกแบบระบบการเลือกตั้งเพื่อตอบโจทย์ทางการเมืองของสังคมไทยเลย ตอนนี้เรากำลังแก้ไปแก้มา เพื่อตอบสนองประโยชน์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะไปแล้ว เราคิดว่าการออกแบบระบบการเลือกตั้งที่ดี เราไว้วัดกันอีกทีตอนมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ดีกว่า

“สำหรับพรรคก้าวไกล ตอนนี้คือคิดว่าทำอย่างไรให้มี พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. ออกมาเร็วที่สุด และยอมรับได้ ถ้าเกิดให้ย้อนกลับไปแก้ไขรัฐธรรมนูญกลับไปสู่ระบบการเลือกตั้งปี 2562 พรรคก้าวไกลคงไม่เห็นด้วยขนาดนั้น” นายชัยธวัช กล่าว

ผู้ดำเนินรายการถามว่า แสดงว่าพรรคก้าวไกลไม่เห็นด้วยใช่หรือไม่ หากมีการรีเซ็ตย้อนกลับไปแบบปี 2562 นายชัยธวัช กล่าวว่า ขนาดที่เป็นอยู่ก็ยุ่งพออยู่แล้ว วัวพันหลักพออยู่แล้ว ตอนแรกแก้กลับไปหาร 500 ก็ยังปวดหัว ตอนนี้กำลังจะมีปัญหากระทบกระเทือนระบบนิติบัญญัติของเราทั้งหมดเลย เราจะใช้กระบวนการนิติบัญญัติตอบสนองผู้มีอำนาจตลอดแบบนี้หรือ เรายอมรับไม่ได้

ส่วนกรณีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม แกนนำพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อ้างว่า การแก้กฎหมายลูกตอนนี้เดินต่อไม่ได้ ต้องกลับไปนับหนึ่งใหม่ โดยคุยกับบางคนในพรรคภูมิใจไทย และพรรคก้าวไกล ซึ่งเห็นด้วยกับเรื่องนี้นั้น นายชัยธวัช กล่าวยอมรับว่า นายสมศักดิ์ได้หารือกับ ส.ส.บางคนในพรรคก้าวไกลจริง แต่เป็นการรีเช็กความเข้าใจเท่านั้น ไม่ได้หมายความตามที่นายสมศักดิ์พูดทั้งหมด 

“ผมคิดว่าความเห็นของ ส.ส.ท่านนั้น คงไม่ได้หมายถึงตามที่คุณสมศักดิ์พูด แค่รีเช็กความเข้าใจตัวเองเท่านั้น มี ส.ส.บางคนในพรรคก้าวไกล ได้คุยกับคุณสมศักดิ์จริง โดยตอนแรกคุยเรื่องอื่น แต่ตอนหลังมีถามความเห็นวกกลับไปคุยกฎหมายเลือกตั้ง” นายชัยธวัช กล่าว

เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้เคยมีใครในแผงอำนาจมาล็อบบี้โยนหินถามทาง ร่วมมือกลับไปแก้ระบบเลือกตั้งให้เป็นแบบปี 2562 หรือไม่ เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ต้องเรียนตรง ๆ ว่า มีตั้งแต่หลังแก้รัฐธรรมนูญเสร็จ เป็นบัตร 2 ใบคู่ขนาน และมีความพยายามของบางกลุ่ม เสนอให้พรรคก้าวไกลเป็นหัวหอกในการผลักดันสูตรหาร 500 ในกฎหมายลูก เราปฏิเสธมาโดยตลอด เราคิดว่าขัดกับหลักการและเจตนารมณ์ที่แก้ไปแล้ว เพราะพรรคก้าวไกลแพ้ เมื่อแพ้เราคิดว่าหลักการที่จะเป็นแบบระบบจัดสรรปันส่วนผสม (MMP) มันจบไปแล้ว ดังนั้นเราปฏิเสธมาโดยตลอดในการผลักดันเป็นหัวหอกหาร 500 เพราะเรื่องนี้อย่ามองผลประโยชน์เฉพาะหน้า แต่เป็นเรื่องหลักการระบบนิติบัญญัติ ที่เราต้องรักษากฎ กติกา

นายชัยธวัช ยังกล่าวถึงความเคลื่อนไหวของพรรคก้าวไกล หากมีการรีเซ็ตระบบกลับไปสู่การเลือกตั้งแบบปี 2562 ว่า เราเป็นเสียงข้างน้อย ที่ทำได้คือยืนยันในหลักการ แต่ถ้าทำอะไรที่เกินเลยขนาดทำลายระบบนิติบัญญัติจนรับไม่ได้ เรื่องนี้เราต้องแสดงออก เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องแก้กฎหมาย เฉพาะระบบการเลือกตั้งอย่างเดียว แต่ต่อไปเสียงข้างมาก จะทำอะไร บิดเบือนหลักการนิติบัญญัติ เพื่อความต้องการเปลี่ยนไปมา ทำให้เสียหาย เพราะเคยจำได้ก่อนหน้านี้เคยมีกรณีโหวตแพ้ แล้วขอโหวตใหม่ แล้วอย่างนี้จะบอกว่า วันนี้โหวตชนะ คือบิดหลักการมาชนะ อีกวันเปลี่ยนใจ ขอโหวตใหม่ หรือล้มเลย มันยากที่จะรับได้

ส่วนประเด็นว่ามีคนบางกลุ่มพยายามสร้างเงื่อนตายทางการเมืองขึ้นมา จากประเด็นเหล่านี้ นายชัยธวัช กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ และตนเคยตั้งข้อสังเกตไปแล้วว่าตอนโหวตสูตรหาร 500 ชนะ เราบอกแล้วว่า เรื่องนี้อาจนำไปสู่ทางตันทางการเมืองอะไรบางอย่าง ทำให้เกิดปัญหาอะไรก็ได้ว่า ไม่มีกฎหมายลูกรองรับการเลือกตั้ง นี่คือสิ่งที่เรากังวล ดังนั้นทางออกของเรื่องนี้มีแค่ไม่กี่ทาง เช่น การงดเว้นข้อบังคับ ให้โหวตย้อนหลังมาตราที่ไม่ได้แปรญัตติในชั้นกรรมาธิการ (กมธ.) เรื่องนี้เรารับไม่ได้แน่นอน หรือการแก้กลับไปสูตรหาร 100 เหมือนเดิม ก็ไม่ได้ เพราะทำลายหลักการนิติบัญญัติอย่างร้ายแรง อีกแบบคือส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อให้ตีกลับมาแก้ไขใหม่ อันนี้อาจพอรับได้ แต่ทั้งหมดทั้งปวงเป็นภาระความรับผิดชอบของเสียงข้างมาก ที่ไปแก้ไขสิ่งขัดหลักการกับรัฐธรรมนูญตั้งแต่ต้น จนตอนนี้กลายเป็นวัวพันหลักไปหมดแล้ว