เสี่ยงเป็นเสี่ยงกัญ... 10 วัน“กัญชาเสรี”

เสี่ยงเป็นเสี่ยงกัญ... 10 วัน“กัญชาเสรี”

นโยบาย “กัญชาเสรี” หรือจะเรียกว่า “ปลดล็อกกัญชา” เป็นตัวอย่างของการจัดทำนโยบายที่ไม่ได้มีความรอบคอบรัดกุม ไม่ได้ตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมา แต่มุ่งหวังผลประโยชน์ทางการเมืองล้วนๆ

จะเห็นได้ว่านโยบายนี้ของพรรคภูมิใจไทย ที่มีความพยายามผลักดัน จากวาทกรรม “ปลูกกัญชาบ้านละ 6 ต้น” ได้รับความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่เรียกว่า “สายเขียว” ซึ่งก็มีอยู่ไม่น้อยในเมืองไทย ทั้งผู้ที่จำเป็นต้องใช้จริงในทางการแพทย์ และผู้ที่ต้องการใช้แนวสันทนาการ ตามความเชื่อและความชอบ หรือรสนิยมส่วนตัว

แต่นโยบายนี้ก็มีคำถามมาตลอดว่าปลูกกัญชาหลังบ้านได้หรือยัง (บ้านละ 6 ต้น) ถ้าจะปลูกต้องทำอย่างไร ปลูกได้เมื่อใดกันแน่ ปลูกที่หลังบ้าน หรือกระถางต้นไม้ในบ้านตามที่เคยหาเสียงกันไว้ได้เลย หรือต้องจดแจ้งลงทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชนอะไรกันก่อน

ภาพที่เห็นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาก็คือ มีคนบางกลุ่ม บางองค์กรปลูกได้ ขายนำร่องไปแล้ว เรียกว่ามีบางพวกเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ระหว่างทางได้ก่อน แต่รอบของชาวบ้านจริงๆ ได้แต่รอจังหวะ บ้างก็ล้ำเส้นจนถูกจับกุมไปบ้างก็มี

ความสับสนพุ่งถึงขีดสุดเมื่อมีการปรับปรุง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษใหม่ เป็นประมวลกฎหมายยาเสพติด ช่วงปลายปีที่แล้ว และถอดชื่อ “กัญชา” ออกจากยาเสพติดประเภท 5 จังหวะนั้นเรียกได้ว่าเฮกันทั้งประเทศ เพราะอยากปลูก อยากขาย อยากรวย และอยากลองมานาน

แปลกแต่จริงที่กัญชาก็ยังมีสถานะเป็นสารเสพติดอยู่ดี เพราะมีชื่อติดอยู่ในประกาศกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นกระทรวงในความรับผิดชอบของหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเอง

ขณะที่แกนนำพรรคภูมิใจไทยออกมาการันตีต่อสังคมว่าปลูกได้ ขายคล่อง ไม่ผิดกฎหมายแล้ว ใครถูกดำเนินคดี ทางพรรคพร้อมจัดทนายไว้รอช่วยเหลือ เรียกว่าท้าทายตำรวจกันเลยทีเดียว

แต่สุดท้ายชาวบ้านทั่วไปก็ยังต้องรอต่อไป เพราะกัญชายังมีสถานะเป็นยาเสพติด กระทั่งเมื่อต้นปี 65 จึงมีการปลดล็อกอย่างสมบูรณ์ แต่ก็ยังต้องมีช่วงตระเตรียมการให้มีผลทางกฎหมายเป็นเวลา 90 วัน ซึ่งก็คือนับถึงวันที่ 9 มิ.ย.65 ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นวันประวัติศาสตร์ “ปลดแอกกัญชาไทย”

ทว่าเหมือนเป็นตลกร้าย เพราะร่างกฎหมายที่กำหนดกฎกติกาการใช้กัญชา ซึ่งก็คือร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง เพิ่งถูกเสนอเข้าสภาผู้แทนราษฎรวาระ 1 อย่างเร่งรีบ ในวันที่ 8 มิ.ย. ก่อนวันปลดแอกเพียงแค่ 1 วัน

และกฎหมายก็ไม่ได้ผ่านสภา 3 วาระรวด แต่เพิ่งรับหลักการวาระแรก ซึ่งก็มีข้อถกเถียงหลายประการที่ต้องไปว่ากันในวาระ 2 โดยเฉพาะเรื่องกฎเกณฑ์และค่าธรรมเนียมในการทำกิจกรรมกัญชาเชิงพาณิชย์ที่ดูว่า “เอื้อนายทุน” มากกว่า “อุ้มชาวบ้าน”

ร่างกฎหมายยังต้องผ่านสภาผู้แทนราษฎรอีก 2 วาระ และวุฒิสภาอีก 3 วาระ ไม่นับกระบวนการทูลเกล้าฯ หลายคนมองแง่ดีว่า 3 เดือนน่าจะจบ แต่บางคนกำลังตั้งคำถามว่าจะทันในสมัยประชุมนี้หรือไม่ (ปิดสมัยประชุมเดือน ก.ย. ก่อนจะเปิดใหม่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี)

ช่วงเวลานับจากวันที่ 9 มิ.ย.เป็นต้นมา จึงเรียกว่า “สุญญากาศ” หรือ “หลุมดำ” เพราะกัญชาไทยเรียกได้ว่าปลูก ขาย กิน เสพ ครอบครองกันได้แบบเสรี เพราะไม่มีส่วนใดของกัญชาผิดกฎหมายอีกต่อไป แม้แต่ “ช่อดอก” ที่ทราบกันดีว่าค่าของสาร THC สูงกว่าปริมาณที่กฎหมายกำหนดแน่นอน แต่ไปๆ มาๆ กติกาก็ผ่อนคลายเป็น “สารสกัดจากช่อดอก” ฉะนั้นจึงเห็นมีดอกกัญชาสด-แห้งขายกันเกลื่อน เพราะช่องลอดของคำว่า “สารสกัด”

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเองก็ออกมายอมรับว่า กัญชาไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมายอีกต่อไป ยกเว้นนำเข้าจากต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่กระนั้นการครอบครองจำนวนมากก็ยังไม่ถือว่าเป็นความผิดซึ่งหน้า จับกุมผู้ต้องสงสัยไม่ได้ ต้องนำกัญชาไปตรวจพิสูจน์แหล่งที่มา หรือปริมาณ THC ในสารสกัดเสียก่อน (ถึงป่านนั้นคนทำผิดกฎหมายก็เผ่นไปไกลแล้ว)

ฉะนั้นจึงสรุปได้ง่ายๆ ว่า กัญชาไทยเสรี 100% นั่นเอง

นับจากนั้นจึงเริ่มมีผลข้างเคียงจากการใช้กัญชาในเชิงสันทนาการปรากฏเป็นข่าวแทบทุกวัน หนักสุดคือมีคนตาย (แต่เล่นแง่ข้อสรุปทางการแพทย์ว่าไม่ได้ตายเพราะกัญชา แต่หัวใจล้มเหลว) ผลข้างเคียงที่ร้ายแรงรองๆ ลงมาก็คือ มีคนแพ้กัญชาที่ผสมในอาหารและเครื่องดื่มขายกันเกร่อ

โดยเฉพาะตู้กดเครื่องดื่มเจ้าดังที่กระจายเข้าไปถึงในสถานพยาบาล และพื้นที่ใกล้สถานศึกษา ซึ่งเป็นธุรกิจของคนในแวดวงพรรคการเมืองผู้ผลิตนโยบายนี้นั่นเอง

นี่ยังไม่นับกระแสคัดค้านจากพี่น้องมุสลิม เพราะถือว่ากัญชายังเป็นสารเสพติดตามหลักศาสนา ซึ่งมีการตั้งเป็นเครือข่ายต่อต้าน รวมตัวกันหลายสิบองค์กร ทั้งภาคการศึกษา ภาคการศึกษา และภาคสังคม

ประกาศล้อมคอกจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่งเริ่มทยอยออกมา กลายเป็นวิ่งไล่ตามปัญหา และอุดช่องโหว่กันรายวัน แถมยังมีการแฉข้อมูลว่า ร่างมาตรการที่ฝ่ายราชการประจำทำเสนอ ถูกฝ่ายการเมือง หรือฝ่ายแอบอิงการเมือง ตัดทอน แก้ไข ให้ลดความเข้มข้นลง ส่วนจะด้วยเหตุผลอะไร วิญญูชนคงวิเคราะห์กันได้ดี

ความจริงที่ปรากฏต่อสายตา คือ 10 วันแรกของการ “ปลดล็อกกัญชา” กลายเป็นสวรรค์ของกลุ่ม “สายเขียวใต้ดิน” ที่ได้นำกัญชาขึ้นมาจำหน่ายบนดินได้อย่างครึกครื้น และอย่างทันควัน ไม่รู้ว่าแอบปลูกกันมาตั้งแต่ตอนไหน เพราะก่อนวันที่ 9 มิ.ย.ไม่กี่วัน คุณยายที่ชลบุรีปลูกแค่ต้นเดียวในบ้าน ยังโดนจับกันเห็นๆ อยู่เลย

ไม่นับพวกธุรกิจต่อเนื่อง เช่น จำหน่าย “บ้อง” ทางออนไลน์ หรือจัดทัวร์ไร่กัญชา ฯลฯ

แต่ว่ากันว่าผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือ “ทุนใหญ่” หรือกลุ่มทุนที่เชื่อมโยงกับฝ่ายการเมืองที่รับรู้ข้อมูลวงใน แล้ววางแผนหาประโยชน์จากนโยบายกันล่วงหน้า รวมทั้ง “ช่วงหลุมดำ” จนน่าสงสัยว่าการปล่อยให้เกิด “หลุมดำ” เป็นความบังเอิญหรือจงใจกันแน่

สุ้มเสียงจากพรรคการเมืองผู้กำหนดนโยบายยังคงแข็งกร้าว ตอบโต้ข่าวร้ายที่เกิดจากการ “ปลดล็อกกัญชา” เพราะคาดหวังว่านโยบายนี้จะนำมาซึ่งคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า กลับมาเป็นรัฐบาลอีกสมัย

เสียงบ่นจากชาวบ้านจริงๆ ที่ไม่มีเส้นสาย และจำยอมต้องหวั่นเกรงกฎหมาย กลายเป็นเหมือนคนนอนตื่นสาย ไล่ตามโลกไม่ทัน และไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการปลดล็อกกัญชา แถมราคากัญชาเริ่มดิ่งลง เนื่องจากมี “มือที่มองไม่เห็น” คอยจัดสรรผลประโยชน์และกำหนดทิศทางตลาดที่ไม่ใช่ตลาดขายปลีก

ไปๆ มาๆ สุดท้ายคนไทยที่อยู่นอกสมการผลประโยชน์ อาจได้แค่ “เศษเนื้อข้างเขียง” แถมเป็นเนื้อชิ้นเล็กติดมันไร้ราคา ไม่ต่างอะไรกับสารพัดโครงการหาเสียงของรัฐบาลในอดีตที่ผ่านมา ที่พรรคการเมืองและกลุ่มทุนเครือข่ายได้ประโยชน์บนคราบน้ำตาของผู้คน