กางแผนลงทุน ‘สตีเบล เอลทรอน’ ประกาศปักธงไทยลงทุน 600 ล้านผลิตฮีทปั๊มส่งออก

กางแผนลงทุน ‘สตีเบล เอลทรอน’ ประกาศปักธงไทยลงทุน 600 ล้านผลิตฮีทปั๊มส่งออก

เปิดแผนลงทุน ‘สตีเบล เอลทรอน’ ประเทศไทย เตรียมทุ่ม 600 ล้านบาท ดันไทยก้าวสู่ศูนย์กลางผลิตฮีทปั๊มส่งออกออสเตรเลีย และจีน ตอกย้ำผู้นำผลิตเครื่องทำน้ำอุ่นน้ำร้อน และฮีทปั๊มที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เดินหน้าสู่องค์กร 100 ปี สร้างฐานแข็งแกร่งด้านนวัตกรรมพลังงานทดแทนชั้นนำของโลก

มร. ไค ชีเฟลไบ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สตีเบล เอลทรอน กรุ๊ป เปิดเผยว่า แผนการลงทุนและการตลาดปี 2567 ยังคงเดินหน้าพัฒนาตลาดในไทยและภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่อง ทั้งการลงทุนสร้างโรงงานการผลิตแห่งใหม่ซึ่งอยู่ระหว่างการสรรหาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอาคารเพื่อรองรับการผลิตเครื่องทำน้ำร้อนฮีทปั๊ม (Heat Pump) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสินค้าเรือธงของบริษัทฯ​ รวมถึงการเพิ่มศักยภาพในการทำตลาดสินค้าในกลุ่มแบรนด์สตีเบล เอลทรอน ที่มีเครื่องทำน้ำอุ่นน้ำร้อน และเครื่องกรองน้ำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด

ปักหมุดไทย ‘ฮับ’ ผลิตฮีทปั๊มป้อนตลาดต่างประเทศ

ปัจจุบันโรงงานผลิต ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน ผลิตเครื่องทำน้ำอุ่นและเครื่องทำน้ำร้อน โดยผลิตป้อนตลาดในประเทศไทย และ ส่งออกไปทั่วเอเชีย มาตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งวันนี้ด้วยยอดขายที่เติบโตต่อเนื่องทุกปีทำให้กำลังการผลิตได้เต็มศักยภาพของโรงงาน จึงได้วางแผนสำหรับการลงทุนโรงงานแห่งใหม่ในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง ภายใต้งบลงทุน 600ล้านบาททั้งในส่วนของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง คาดว่าจะดำเนินการผลิตได้ในปี 2568 และเตรียมผลิตเพื่อการส่งออกเป็นหลักจากโรงงานแห่งใหม่นี้

เร่งยอดขายเติบโต  

มร. ไฮนซ์ เวอร์เนอร์ ชมิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการขายและการตลาด สตีเบล เอลทรอน กรุ๊ปกล่าวว่า ที่ผ่านมา บริษัทมีฐานผลิตฮีทปั๊มอยู่ที่เยอรมนีเป็นหลัก ซึ่งหากจะส่งจากเยอรมนีไปออสเตรเลียจะมีต้นทุนที่สูงมาก ซึ่งไทยจะมีความเหมาะสมกว่าสำหรับเป็นทั้งฐานการผลิตและส่งออกไปที่ออสเตรเลีย และจีน

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจขยายการลงทุนนั้นมาจากประเทศไทยยังมีศักยภาพในการเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก โดยเฉพาะด้านกำแพงภาษี ส่งออกและนำเข้าในอัตราภาษี0% นอกจากนี้  ทักษะของแรงงานไทยที่ตอบโจทย์การผลิตได้เป็นอย่างดี ขณะที่บริษัทฯ กำลังมองหาโอกาสใหม่ๆ ที่จะสร้างการเติบโตของยอดขายในกลุ่มสินค้าเครื่องทำน้ำร้อนฮีทปั๊มให้กว้างขึ้นกว่าเดิมในตลาดประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก

โดยผลงาน สตีเบล เอนทรอน ทั่วโลกมีการเติบโตของยอดขายอย่างต่อเนื่องนับจากปี 2563ด้วยผลงานยอดขาย 700 ล้านยูโร ขณะที่ในปี 2566 ยอดขาย 1,400 ล้านยูโร

 

ด้าน มร. โรลันด์ เฮิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตีเบล เอลทรอน เอเซีย จำกัด กล่าวว่า ยอดขายในประเทศไทย ปี 2566 อยู่ที่ 1,065 ล้านบาท เติบโต 8% จากปีที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ คาดหวังว่าการลงทุนที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีนี้นับเป็นกำลังสำคัญที่ผลักดันยอดขายในไทยให้เติบโตได้อีกมาก จากปัจจุบันตลาดในไทยสร้างสัดส่วนยอดขายได้ถึง 70% จากสัดส่วน 3.5% ที่มาจากยอดขายทั่วทุกภูมิภาค ขณะที่ตลาดกว่า 50% นั้นมาจากเยอรมนี และอีก 50% มาจากภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก เช่น ยุโรป และอเมริกา

ส่วนแผนการขายและการตลาดประเทศไทย บริษัทฯ วางกลยุทธ์ครอบคลุมฐานลูกค้า A,B และ C เพื่อให้สอดรับกับกำลังซื้อของแต่ละตลาด เช่นที่ผ่านมา เปิดตัวเครื่องทำน้ำอุ่น DE BLACK  เจาะกลุ่ม C เป็นหลัก โดยมีเป้าหมายสร้างการรับรู้และการยอมรับในผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงได้มาตรฐานวิศวกรรมเยอรมันในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย

ส่วนฮีทปั๊ม ที่แม้จะมีตลาดที่ค่อนข้างไม่ใหญ่มากในปัจจุบัน แต่มองถึงโอกาสของการเติบโตในอนาคตไปพร้อมกับกระแสการอนุรักษ์พลังงานที่เกิดขึ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดในไทย ซึ่งกลุ่มตลาดหลักของฮีทปั๊ม ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มรีสอร์ท และโรงแรมขนาดเล็กที่ต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมด้านพลังงานทดแทนมาช่วยลดค่าใช้จ่ายของธุรกิจ

 

ก้าวสู่องค์กร 100 ปีอย่างยั่งยืน

สตีเบล เอลทรอน ให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมใหม่ที่เน้นพลังงานทดแทน อาทิ เครื่องระบายอากาศ และฮีทปั๊ม นับตั้งแต่ก่อตั้งปี 2467 ที่กำลังจะครบ 100 ปีในปี 2567โดยปัจจัยความสำเร็จที่ยาวนานนี้มาจากความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยี การมีทีมวิจัยและพัฒนาที่ประหยัดพลังงาน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ยังมีในด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และการสร้างความน่าเชื่อถือ พร้อมการเข้าถึงความต้องการของลูกค้าในแต่ละประเทศ ซึ่งแผนงานในปีนี้ บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่คือ เครื่องแลกเปลี่ยนอากาศ สำหรับใช้ในที่พักอาศัย และสถานที่ปิด โดยการทำงานของเครื่องตัวนี้จะดึงอากาศดี (อ็อกซิเจน) ด้านนอกถ่ายเทเข้าสู่พื้นที่ด้านในขณะเดียวกันก็ผลักคาร์บอนไดออกไซด์ในบริเวณห้องให้ออกสู่ภายนอก ที่จะทำให้คุณภาพชีวิตผู้บริโภคดีขึ้น         

สำหรับแนวทางต่อจากนี้ สตีเบล เอลทรอน ยังคงรักษามาตฐานการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์ด้านประหยัดพลังงานและลดภาวะโลกร้อน ควบคู่ไปกับการเร่งสร้างการเติบโตของยอดขายในประเทศไทยและประเทศเวียดนาม และภูมิภาคเอเชีย