กทม. ตั้ง 'รพ.ราชพิพัฒน์' เป็นหน่วยเก็บ DNA พิสูจน์-คืนสิทธิบุคคล

กทม. ตั้ง 'รพ.ราชพิพัฒน์' เป็นหน่วยเก็บ DNA พิสูจน์-คืนสิทธิบุคคล

กทม. ตั้ง 'รพ.ราชพิพัฒน์' เป็นหน่วยเก็บ DNA พิสูจน์-คืนสิทธิบุคคล เพิ่มโอกาสเข้าถึงสิทธิบัตรทอง ต้องดีกว่าเดิม

วันนี้ (16 ต.ค.66) รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน และ รักษาการ ผอ.สำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ  สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แพทย์หญิงปานใจ โวหารดี ผู้อำนวยการกองนิติวิทยาศาสตร์บริการ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และหน่วยงานภาคีเครือข่าย ร่วมกัน Kick off โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ เป็นหน่วยเก็บสิ่งส่งตรวจสารพันธุกรรม (DNA) โซนธนบุรี พื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อพัฒนาการเข้าถึงบริการระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ให้กับกลุ่มคนไทยที่มีปัญหาสิทธิสถานะในพื้นที่ กทม.

กทม. ตั้ง \'รพ.ราชพิพัฒน์\' เป็นหน่วยเก็บ DNA พิสูจน์-คืนสิทธิบุคคล

รองผู้ว่าฯ ทวิดา  กล่าวว่า จากการสำรวจตัวเลขของผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิบัตรทอง ทั้งประเทศมีประมาณ 500,000 คน ในส่วนพื้นที่ของ กทม. มีตกหล่นอยู่หลายประเภทซึ่งยังไม่ได้มีการสำรวจอย่างจริงจังแต่อนุมานได้ว่ามีไม่ต่ำกว่า 10,000 ราย  ดังนั้น กทม. ได้ให้ความสำคัญและร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับการดำเนินงานเพื่อพัฒนาการเข้าถึงสิทธิหลักประกันสุขภาพ ให้กับคนไทยที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียน โดยบทบาทของการดำเนินงานที่ผ่านมา ได้ทำการสำรวจข้อมูลและต้นทุนการใช้บริการสุขภาพของคนกลุ่มนี้ ในสถานบริการสังกัดสำนักการแพทย์ และสำนักอนามัย กทม. พร้อมสนับสนุนการแก้ไขปัญหาเพื่อให้เกิดการเข้าถึงบริการ โดยจะขยายผลไปยังโรงพยาบาลกลาง และโรงพยาบาลสิรินธรในระยะต่อไป

 

“วันนี้ทาง กทม. เราได้ทำการ Kick off ให้โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ เป็นหน่วยเก็บสิ่งส่งตรวจให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งถือเป็นแห่งแรกในพื้นที่ กทม. ที่จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับการพิสูจน์ตัวตน โดยเฉพาะประชาชนที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียนในโซนธนบุรี ซึ่งหวังว่าจะช่วยเพิ่มโอกาสให้คนกลุ่มนี้ได้เข้ารับการพิสูจน์ตัวตน เพื่อให้ได้รับบัตรประชาชน และสามารถมีสิทธิเข้ารับบริการสุขภาพได้เช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป" รองผู้ว่าฯ ทวิดา กล่าว

สิทธิบัตรทองถือเป็นกลไกหลักของประเทศไทย ที่ช่วยดูแลประชาชนให้เข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็นอย่างครอบคลุมและทั่วถึง อย่างไรก็ตามยังคงมีประชากรจำนวนหนึ่งที่ไม่สามารถเข้าถึงสิทธินี้ได้เนื่องมาจากการมีปัญหาสถานะทางทะเบียน ด้วยปัจจัยสาเหตุต่างๆ เช่น ไม่ได้รับแจ้งเกิด เอกสารบุคคลสูญหาย เป็นต้น ส่งผลให้ไม่มีเลขบัตรประชาชน 13 หลัก จึงไม่สามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานได้เฉกเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเปราะบาง กลุ่มคนไร้บ้าน กลุ่มคนไร้สิทธิ ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันแก้ปัญหาเพื่อให้คนเหล่านี้ได้รับการคุ้มครองสิทธิ โดยนำมาสู่การลงนามบันทึกความร่วมมือ "การดำเนินงานพัฒนาการเข้าถึงสิทธิหลักประกันสุขภาพของคนไทยที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียน" ระหว่าง 9 หน่วยงาน ตั้งแต่วันที่ 8 ก.ค. 2563 เพื่อเชื่อมโยงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบและบูรณาการพัฒนาระบบข้อมูลของคนไทยที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียนร่วมกัน

กทม. ตั้ง \'รพ.ราชพิพัฒน์\' เป็นหน่วยเก็บ DNA พิสูจน์-คืนสิทธิบุคคล

สำหรับ 9 หน่วยงาน ที่ลงนามบันทึกความร่วมมือดังกล่าว ประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กทม. สสส. สปสช. องค์การแพลน อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย และ มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยที่ผ่านมาหน่วยงานทั้ง 9 ต่างขับเคลื่อนการดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่และภารกิจของแต่ละแห่งเพื่อแก้ปัญหาสิทธิของคนไทยที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียน

ทั้งนี้ เดิมทีในการพิสูจน์ตัวตนนั้น ประชาชนอาจจะต้องกลับไปดำเนินการตามภูมิลำเนาเดิม แต่ปัจจุบัน กรมการปกครองได้อำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถพิสูจน์ตัวในพื้นที่ กทม. ได้ ผ่านหน่วยใน กทม. ที่มี 2 แห่ง คือ 1. สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งให้บริการทั้งในรูปแบบเดินทางเข้ามาตรวจที่สถาบัน กับรูปแบบการลงพื้นที่หรือใช้เครือข่ายหน่วยเก็บสิ่งส่งตรวจส่งให้สถาบันฯ 2. โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งให้บริการตรวจที่โรงพยาบาลเท่านั้น

สำหรับกระบวนการพิสูจน์และสืบข้อมูลบุคคลที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียน สำหรับในพื้นที่ กทม. นั้น ทางเจ้าหน้าที่เขตจะทำการพูดคุยและรวบรวมหลักฐานที่มี หรือที่สำนักงานเขตหาได้ ซึ่งหากการพิสูจน์ผ่านไปได้ด้วยดี ก็จะนำไปสู่การทำบัตรประชาชน และสามารถใช้สิทธิต่างๆ ได้ทันที แต่หากกรณีที่มีหลักฐานไม่มากเพียงพอ ตามระบบจะมีการเก็บสิ่งส่งตรวจสารพันธุกรรม หรือ DNA เป็นอีกช่องทางในการพิสูจน์ตัวตน โดยจะดำเนินการร่วมกับโรงพยาบาลในพื้นที่ที่เข้าร่วม โดยที่ประชาชนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด