ปภ. เปิดเว็บไซต์บริการข้อมูลแผนที่เสี่ยงภัย นำร่อง 3 ภัย น้ำท่วม แล้ง วาตภัย

วันที่ 27 กันยายน 2566 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย จัดทำข้อมูลแผนที่เสี่ยงภัย นำร่อง 3 ประเภทภัย ทั้งอุทกภัย ภัยแล้ง และวาตภัย พร้อมให้บริการแล้วทางเว็บไซต์ https://riskmap.disaster.go.th เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์และวางแผนการบริหารจัดการสาธารณภัยในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

 

 

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเว็บไซต์ https://riskmap.disaster.go.th ให้บริการข้อมูลแผนที่เสี่ยงภัยในรูปแบบ Dashboard นำร่องใน 3 ประเภทภัยที่เกิดขึ้นบ่อยในประเทศไทย ได้แก่ อุทกภัย ภัยแล้ง และวาตภัย โดยเป็นแหล่งข้อมูลพื้นที่เสี่ยงภัยครอบคลุมทั่วประเทศ มีความละเอียด และเจาะลึกถึงระดับหมู่บ้าน 

 

ซึ่ง ปภ. ได้ทำการสำรวจข้อมูลพื้นที่เสี่ยงได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติในระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2554 - 2563) ภายใต้โครงการ Tambon Smart Team ของกรมการปกครอง และนำมารวบรวมเสนอในรูปแบบ Dashboard แยกตามประเภทภัย เพื่อเป็นแพลตฟอร์มข้อมูลออนไลน์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงง่าย ชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงได้แม่นยำ ครอบคลุมประเด็น นำไปใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์และวางแผนการบริหารจัดการสาธารณภัยได้ตรงจุด สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความเสี่ยงภัยในแต่ละพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

 

 

เว็บไซต์ข้อมูลแผนที่เสี่ยงภัย https://riskmap.disaster.go.th นำเสนอข้อมูลพื้นที่เสี่ยงภัยใน 3 ประเภทภัย ได้แก่ อุทกภัย ภัยแล้ง และวาตภัย โดยระบุข้อมูลที่เกี่ยวข้องแบบเจาะลึกตั้งแต่ระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ได้แก่ ข้อมูลความเสี่ยงภัย (เสี่ยงสูงมาก - ไม่มีความเสี่ยง) ระดับความรุนแรง ผลกระทบ โอกาสในการเกิดภัย แนวโน้มความเสียหาย รวมถึงนำเสนอในรูปแบบแผนที่ประเทศไทยแบบ Point Map ที่สามารถคลิกเลือกดูข้อมูลใน 2 ส่วน ทั้งประเภทหมู่บ้านเสี่ยงภัย และพื้นที่เสี่ยงภัย โดยผู้สนใจสามารถเข้าดูข้อมูลบนหน้าเว็บไซต์และดาวน์โหลดข้อมูลไปใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติม 

 

สำหรับบริการข้อมูลแผนที่เสี่ยงภัยบนเว็บไซต์ https://riskmap.disaster.go.th ถือเป็นหนึ่งในแผนงานการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ของ ปภ. ที่มุ่งสู่การเป็นหน่วยงานกลางในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง โดยได้กำหนดให้มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาให้ในการบริหารจัดการอย่างรอบด้านและเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งตอบโจทย์การทำงานยุคใหม่ที่เทคโนโลยีดิจิทัลมีความจำเป็นต่อการพัฒนางาน การบริการจัดการ การวิเคราะห์ข้อมูล การประมวลผล เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจในการปฏิบัติและเชิงนโยบาย และนำไปสู่การจัดการสาธารณภัยที่มีประสิทธิภาพ ทันต่อเหตุการณ์ และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้ตรงจุด