ยุคแห่งปัญหาสุดโหด (Wicked problems) | ธราธร รัตนนฤมิตศร

ยุคแห่งปัญหาสุดโหด (Wicked problems) | ธราธร รัตนนฤมิตศร

ในโลกปัจจุบันที่เชื่อมโยงถึงกันและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สังคมเผชิญกับปัญหาและความท้าทายที่ซับซ้อนซึ่งบางครั้งเรียกว่า “Wicked problems” หรืออาจเรียกว่า “ปัญหาสุดโหด”

คำนี้บัญญัติโดย Horst Rittel และ Melvin Webber  ตัวอย่างปัญหาสุดโหดในยุคนี้ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โอกาสและภัยคุกคามจากปัญญาประดิษฐ์ การขจัดความยากจนและความเหลื่อมล้ำ และปัญหาการเปลี่ยนขั้วอำนาจระดับโลก

“ปัญหาสุดโหด” มีลักษณะธรรมชาติที่ซับซ้อน แตกต่างจาก “ปัญหาทั่วไป” ซึ่งมักสามารถกำหนดโจทย์ได้ชัดเจนและมีวิธีแก้ไขที่ตรงไปตรงมา 

“ปัญหาสุดโหด” มีลักษณะสำคัญหลายประการ ประการแรก เป็นปัญหาที่ขาดคำจำกัดความของปัญหาที่ชัดเจน ซึ่งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ มักมีมุมมองและความสนใจต่อปัญหาที่แตกต่างกัน ประการที่สอง ความเชื่อมโยงต่อกันและฝังอยู่ภายในระบบที่ซับซ้อน ทำให้ยากที่จะแยกแยะสาเหตุและผลกระทบออกจากกันได้อย่างง่ายๆ 

ประการที่สาม “ปัญหาสุดโหด” ไม่มีวิธีแก้ปัญหาที่แน่นอนตายตัว เนื่องจากการลงมือทำเพื่อจัดการกับปัญหาเหล่านั้นอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง และประการสุดท้าย “ปัญหาสุดโหด” มีพลวัตและวิวัฒนาการตลอดเวลา ทำให้ต้องมีการปรับตัวและเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ การแก้ไข “ปัญหาสุดโหด” มีความยากมากเนื่องจากธรรมชาติที่ซับซ้อนและไม่หยุดนิ่งของปัญหา มีความไม่แน่นอนและความคลุมเครือ  และมีข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์หรือขัดแย้งกัน ทำให้ยากที่จะกำหนดแนวทางปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

ความเชื่อมโยงระหว่างกันของปัญหาเหล่านี้ยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอน เนื่องจากการระบุประเด็นใดประเด็นหนึ่งอาจมีผลที่ตามมาโดยไม่ได้ตั้งใจในที่อื่น

ยุคแห่งปัญหาสุดโหด (Wicked problems) | ธราธร รัตนนฤมิตศร

และเมื่อ “ปัญหาสุดโหด” เกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายกลุ่มที่มีความสนใจ คุณค่า และเป้าหมายที่หลากหลาย มุมมองที่ขัดแย้งกันและการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจ ระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะบรรลุฉันทามติและพัฒนาแนวทางแก้ไขที่มีประสิทธิภาพ

ความซับซ้อนและขนาดของปัญหาสุดโหด มักต้องการทรัพยากรจำนวนมาก รวมถึงความสามารถทางการเงิน มนุษย์ และเทคโนโลยี ความขาดแคลนของทรัพยากรเหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคต่อการหาทางออกที่ครอบคลุม

วิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นตัวอย่างของ “ปัญหาสุดโหด” แห่งศตวรรษนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนับเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน มีผลกระทบในวงกว้างต่อระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของมนุษย์ เกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย

เช่น การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากแหล่งต่างๆ สารพัด รวมถึงการตัดไม้ทำลายป่า การบริโภคและการใช้ทรัพยากร การจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องอาศัยความร่วมมือระดับโลก เทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรม และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมส่วนบุคคลและส่วนรวม ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก

    ในด้านเทคโนโลยีก็มีปัญหาสุดโหดที่กำลังเกิดขึ้น ได้แก่ การใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างมีจริยธรรม  โดยการพัฒนาและการปรับใช้ระบบ AI อย่างก้าวกระโดดก่อให้เกิดปัญหาขัดแย้งทางจริยธรรม ซึ่งรวมถึงข้อกังวลเกี่ยวกับความลำเอียงของอัลกอริทึม ความโปร่งใส ความรับผิดชอบ

และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจาก AI ต่อตลาดงานและความไม่เท่าเทียมทางสังคมที่กำลังย้ายประเด็นจากความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล (digital divide) สู่ความเหลื่อมล้ำทางปัญญาประดิษฐ์ (AI divide) 

เนื่องจากความซับซ้อนและความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสุดโหด เครื่องมือการแก้ไขปัญหาสุดโหดหลากหลายอย่างจึงถูกนำมาใช้ ตัวอย่างสำคัญๆ ได้แก่ การใช้เทคนิคการวิเคราะห์ภาพอนาคตเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Foresight)

เพื่อนำผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งระบบ มาร่วมกันสร้างและมองฉากทัศน์ในอนาคตร่วมกัน เพื่อให้เข้าใจแนวโน้มและความไม่แน่นอนที่มากระทบกับระบบ ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น รวมถึงการสร้างวิสัยทัศน์อนาคตร่วมกัน 

ยุคแห่งปัญหาสุดโหด (Wicked problems) | ธราธร รัตนนฤมิตศร

นอกจากนี้ ยังมีการใช้เทคนิคการคิดเชิงระบบพลวัต (System Dynamics) เพื่อร่วมกันวาดระบบที่กำลังศึกษาอยู่ออกมาผ่าน Causal Loop Diagrams เพื่อเข้าใจพลวัตของระบบ ผลป้อนกลับเชิงบวกและเชิงลบ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างระบบ ความล่าช้า (delay)

ผลกระทบที่ตามมาโดยไม่ตั้งใจและจุดคานงัดของระบบ ซึ่งหากเข้าใจระบบที่เกิดขึ้นแล้วก็จะสามารถจำลองการปรับเปลี่ยนระบบเพื่อดูผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นว่าเป็นไปอย่างที่ต้องการหรือไม่

เทคนิคการแก้ปัญหาสุดโหด จำเป็นต้องมี “การทำงานร่วมกัน” ของตัวแทนภาคส่วนต่างๆ ในระบบที่ดำเนินการอยู่ การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่หลากหลายจึงสำคัญ เพราะจะช่วยส่งเสริมให้เกิดปัญญาส่วนรวม (wisdom of crowds) และส่งเสริมความเป็นเจ้าของร่วมกันในกระบวนการแก้ปัญหา (Co-ownership)

โดยเมื่อทุกคนพัฒนาความรู้สึกของความเป็นเจ้าของ และมีความมุ่งมั่นต่อวิธีแก้ปัญหาที่เสนอ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการดำเนินการอย่างยั่งยืนและความสำเร็จในระยะยาว

ในยุคของปัญหาสุดโหดที่การแก้ปัญหาไม่ได้อยู่ในรูปเส้นตรงแบบตรงไปตรงมา แต่มีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจำนวนมาก การแก้ไขปัญหาแบบเดิมจึงไม่ได้ผลอีกต่อไปและอาจจะทำให้เกิดผลกระทบที่ไม่ได้ตั้งใจตามมา (unintended consequences) หรือแก้ปัญหาหนึ่งได้ แต่ก็มีปัญหาใหญ่กว่าตามมา

องค์กรภาครัฐและภาคเอกชนในอนาคต จึงจำเป็นต้องเข้าใจธรรมชาติของปัญหาสุดโหด และเปิดพื้นที่ในการแก้ไขปัญหาประเภทนี้อย่างมีประสิทธิภาพร่วมกัน.