กอนช. เฝ้าระวังน้ำท่วม-ภัยแล้ง ทุกพื้นที่ คาด ส.ค. นี้ มีฝนเพิ่มมากขึ้น

กอนช. เฝ้าระวังน้ำท่วม-ภัยแล้ง ทุกพื้นที่ คาด ส.ค. นี้ มีฝนเพิ่มมากขึ้น

กอนช. ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมและภัยแล้งใกล้ชิด คาดฝนจะเพิ่มขึ้นช่วงเดือน ส.ค. นี้ แต่ยังคงต้องใช้น้ำอย่างประหยัด โดยประเมินพบแหล่งน้ำขนาดใหญ่เฝ้าระวังน้ำน้อย 4 แห่ง ชี้พื้นที่ตอนกลางของประเทศเสี่ยงเกิดภัยแล้งมากที่สุด

วันนี้ (11 ก.ค. 66) ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมการประเมินสถานการณ์น้ำ กอนช. ณ อาคารจุฑามาศ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ถ.วิภาวดีรังสิต โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) กรมทรัพยากรน้ำ กรมชลประทาน กรมทรัพยากรธรณี การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็นต้น เข้าร่วมการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

กอนช. เฝ้าระวังน้ำท่วม-ภัยแล้ง ทุกพื้นที่ คาด ส.ค. นี้ มีฝนเพิ่มมากขึ้น  

ดร.สุรสีห์ กล่าวว่า แม้ปัจจุบันประเทศไทยจะเข้าสู่เข้าสู่สภาวะเอลนีโญแล้ว แต่บางพื้นที่ยังคงมีแนวโน้มของปริมาณฝนตกเพิ่มมากขึ้น พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ กอนช. จึงมีข้อห่วงกังวลอย่างยิ่งถึงสถานการณ์อุทกภัยและสถานการณ์ฝนทิ้งช่วง และได้กำชับให้ สทนช. บูรณาการความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แจ้งเตือนประชาสัมพันธ์ เร่งแก้ไขปัญหาทั้งน้ำท่วมและภัยแล้ง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนทั่วประเทศได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งที่ผ่านมา กอนช. ได้มีการออกประกาศแจ้งเตือนน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดมีพื้นที่ประสบอุกทกภัย จำนวน 5 จังหวัด ได้แก่ จ.น่าน ร้อยเอ็ด ภูเก็ต ตรัง และสตูล ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งให้ความช่วยเหลือตามข้อสั่งการรองนายกรัฐมนตรี โดยขณะนี้สถานการณ์ได้คลี่คลายกลับคืนสู่ภาวะปกติแล้ว 
 

ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยา และ สสน. คาดการณ์ว่าในช่วงระหว่างวันที่ 15-19 ก.ค. 66 จะมีโอกาสมีฝนตกเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณภาคเหนือตอนบน บริเวณชายขอบของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน และจะมีการใช้ข้อมูลคาดการณ์ฝนในการวิเคราะห์ประเมินสถานการณ์ เพื่อพิจารณาออกประกาศแจ้งเตือนต่อไป

“จากสถิติข้อมูลฝนสะสมในปีนี้ ปัจจุบันมีภาพรวมปริมาณฝนทั้งประเทศ ต่ำกว่าค่าปกติ 24% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากในระยะนี้มีฝนตกเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดสถานการณ์อุทกภัยในบางพื้นที่ แต่เป็นลักษณะของน้ำท่วมขังในระยะเวลาไม่ยาวนานนัก และจากการประเมินสถานการณ์ฝน ONE MAP เบื้องต้น คาดว่าเดือน ส.ค. จะมีปริมาณฝนเพิ่มขึ้น โดยมีฝนมากกว่าค่าปกติ 3% มีแนวโน้มปริมาณฝนเพิ่มมากขึ้นบริเวณภาคเหนือฝั่งตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือฝั่งตะวันออก

กอนช. เฝ้าระวังน้ำท่วม-ภัยแล้ง ทุกพื้นที่ คาด ส.ค. นี้ มีฝนเพิ่มมากขึ้น

ในส่วนพื้นที่ตอนกลางยังคงมีโอกาสเกิดฝนน้อย ในขณะที่เดือน ก.ย. คาดว่าจะมีปริมาณฝนน้อยกว่าค่าปกติ 8% โดยมีปริมาณฝนลดลงในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง รวมถึงภาคกลางที่ยังมีฝนน้อย ประกอบกับได้มีการวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงภัยแล้งโดยแผนที่ภาพถ่ายดาวเทียมของ GISTDA พบว่า ในช่วงตอนกลางของประเทศ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออก ในพื้นที่ จ.สระแก้ว มีความเสี่ยงในการเกิดความแห้งแล้งค่อนข้างมาก ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่อื่น ๆ บริเวณตอนกลางของประเทศจึงเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงเกิดภัยแล้งมากที่สุด” เลขาธิการ สทนช. กล่าว

กอนช. เฝ้าระวังน้ำท่วม-ภัยแล้ง ทุกพื้นที่ คาด ส.ค. นี้ มีฝนเพิ่มมากขึ้น
 

ดร.สุรสีห์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ปัจจุบันมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่ต้องเฝ้าระวังน้ำน้อย จำนวน 4 แห่ง คือ ภาคเหนือ 2 แห่ง ได้แก่ เขื่อนสิริกิติ์และบึงบอระเพ็ด ซึ่งจะส่งผลกระทบถึงพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1 แห่ง ได้แก่ เขื่อนจุฬาภรณ์ และภาคตะวันตก 1 แห่ง ได้แก่ เขื่อนปราณบุรี ซึ่งโดยปกติแล้วแหล่งน้ำในภาคตะวันตกจะสามารถช่วยเหลือในเรื่องการผลักดันน้ำเค็มของภาคกลาง และใช้เป็นน้ำต้นทุนผลิตประปาของกรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ ยังมีแหล่งน้ำอื่น ๆ ที่มีปริมาณน้ำน้อยเช่นกัน เช่น เขื่อนภูมิพล เขื่อนวชิราลงกรณ ฯลฯ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรณรงค์ให้ประชาชนมีการใช้น้ำอย่างประหยัด

กอนช. เฝ้าระวังน้ำท่วม-ภัยแล้ง ทุกพื้นที่ คาด ส.ค. นี้ มีฝนเพิ่มมากขึ้น

รวมถึงต้องเพาะปลูกให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ ในขณะเดียวกันก็มีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่ต้องเฝ้าระวังน้ำน้อย จำนวน 2 แห่ง คือ ภาคเหนือ 1 แห่ง ได้แก่ เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1 แห่ง ได้แก่ เขื่อนน้ำพุง โดยจะมีการบริหารจัดการน้ำและดูแลความปลอดภัยของเขื่อนอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนด้านท้ายน้ำ