ราคาสุกรหน้าคอกตกต่ำ เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรวอนรัฐช่วยเหลือ

เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร เดือดร้อนหนักต้องแบกรับต้นทุนหลังราคาสุกรหน้าคอกตกต่ำ เนื่องจากเนื้อสุกรหนีภาษีจากประเทศเพื่อนบ้านทะลักเข้าไทย ทั้งปัญหาสุกรไทยไม่สามารถส่งออกได้ เรียกร้องรัฐแก้ไขปัญหาจริงจัง

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ที่สมาคมการค้าผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้ หมู่ 4 ตำบลปรางหมู่ อ.เมือง จ.พัทลุง นายสำรอง รักชุม พร้อมด้วย นายภักดิ์ ชูขาว และ นายเฉลิมพล มานันตพงค์ ตัวแทนกลุ่มผู้เลี้ยงสุกรจังหวัดพัทลุง ในฐานะกรรมการสมาคมการค้าผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้ เรียกร้องให้รัฐช่วยแก้ปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรในพื้นที่ภาคใต้ หลังประสบปัญหาต้องแบกรับต้นทุนในการผลิต ขณะที่ราคาสุกรหน้าคอกตกต่ำเหลือเพียงกิโลกรัมละ 80 บาท และมีแนวโน้มดิ่งต่ำลงอีก ถึง 70 บาทต่อกิโลกรัม

นายสำรอง แกนนำผู้เลี้ยงสุกรในพื้นที่จังหวัดพัทลุง กล่าวว่า ในภาคใต้มีผู้เลี้ยงสุกรทั้งหมดกว่า 15,000 ราย จังหวัดพัทลุง เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีผู้เลี้ยงสุกร มากเป็นอันดับ 2 ของภาคใต้ มีจำนวนผู้เลี้ยงกว่า 4,000 รายรองจากจังหวัดนครศรีธรรมราช จากเดิมเกษตรกรขายสุกรหน้าคอกในต่อกิโลกรัม ราคา 92 บาท ล่าสุด ลดลงอยู่ที่ราคา 80 – 85 บาทต่อกิโลกรัม และมีแนวโน้มลดลงอีกจนถึงราคากิโลกรัมละ 70 บาท ซึ่งเป็นผลพวงมาจากปัญหาการลักลอบนำเนื้อสุกรกล่องจากประเทศเพื่อนบ้านทะลักเข้ามาขายในประเทศไทยในราคาถูก โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ บวกกับสุกรไทยยังไม่สามารถส่งออกไปต่างประเทศได้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศญี่ปุ่น รัชเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง ได้ หลังเกิดการระบาดของโรคโควิดจนทำให้มีผลกระทบกับการส่งออกจากสภาพดังกล่าว ทำให้มีการผูกขาดตลาดเฉพาะของบริษัทยักษ์ใหญ่ เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรแทบไม่มีที่ยืน ถูกแทรกแซงทั้งเนื้อสุกรที่ทะลักเข้าโดยผิดกฎหมายและสุกรของบริษัทยักษ์ใหญ่แล้ว ยังต้องมาแบกรับต้นทุนในการผลิตที่สูงขึ้นไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร ค่าวัตถุดิบในการผลิตอาหาร และราคาค่าไฟฟ้าที่จำเป็นต้องใช้ในฟาร์ม ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาปรับเพิ่มสูงขึ้น 3 เท่าตัว ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรต่างได้รับความเดือดร้อน
 

ทางกลุ่มผู้เลี้ยงสุกรจึงได้ส่งตัวแทนเรียกร้องรัฐบาลให้เข้ามาช่วยเหลือโดยเร่งแก้ปัญหาทั้งขบวนการลักลอบนำเนื้อสุกรกล่องจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาในไทยอย่างจริงจัง เพราะนอกเหนือจากทำให้ราคาสุกรหน้าคอกดิ่งลงแล้ว ยังเสี่ยงกับปัญหาเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยของผู้บริโภคด้วย

และขอให้รัฐได้ปลดล็อกการส่งออกสุกรไทย เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร มีที่ว่างในการจำหน่ายสุกร เพราะปริมาณสุกรมีมากเกินกว่าการบริโภคในประเทศแล้วเมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่ส่งออกไม่ได้ สินค้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ ก็ต้องขายในประเทศ จนทำให้ผูกขาดจนกระทบกับเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร ที่เหลือแค่ 10 เปอร์เซ็นของจำนวนผู้เลี้ยงทั้งหมด

นอกจากนั้นแล้วตัวแทนเกษตรกรยังได้เรียกร้องให้รัฐได้เข้ามาช่วยเหลือเรื่องพลังงานทดแทน ระบบโซลาเซลพลังงานจากแสงอาทิตย์ หลังจากที่เกษตรกรต้องแบกรับราคาค่าไฟ ที่ต้องใช้ในคอกเลี้ยงสุกรเพิ่มสูงขึ้น 3 เท่าตัว โดยเฉพาะในเรื่องขององค์ความรู้และงบประมาณ สนับสนุนให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร อาจจะไม่ต้องทั้งหมด 40 หรือ 50 เปอร์เซ็น ในการติดตั้ง เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนดังกล่าว