สมคบคิด“บัตร 2 ใบ” สัญญาพรรคใหญ่ล่วงหน้า ?

สมคบคิด“บัตร 2 ใบ” สัญญาพรรคใหญ่ล่วงหน้า ?

หากเลือกตั้งสมัยหน้า ได้ใช้กติกาใหม่ คงได้พิสูจน์ความเชื่อของ “ธรรมนัส” ว่า  ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด “เพื่อไทย-พลังประชารัฐ” แก้รัฐธรรมนูญเพื่อสร้างอนาคตร่วมกัน ทำนองเรือล่มในหนองทองจะไปไหน

ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ “แก้ไขระบบเลือกตั้ง” วาระสอง โดยที่ประชุมรัฐสภา มีมติในการแก้ไขระบบเลือกตั้ง 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ การแก้ไขสัดส่วนของ ส.ส. แบบแบ่งเขต 400 คน และแบบบัญชีรายชื่อ 100 คน 

ใช้ระบบเลือกตั้งแบบคู่ขนาน ที่มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบแบบเดียวกับระบบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ ปี 2540 แต่ไม่มีการกำหนดเกณฑ์คะแนนขั้นต่ำในการจัดสรรที่นั่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ

สาเหตุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านฉลุย สืบเนื่องจากพรรคพลังประชารัฐจับมือพรรคเพื่อไทย ร่วมมือกันแก้กติกาเลือกตั้ง บวกกับเสียง ส.ว.ที่ได้รับสัญญาณพิเศษ

พรรคก้าวไกล พยายามต่อรองขอให้คงสัดส่วนของ ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญ 2560 คือ แบบแบ่งเขต 350 คน และบัญชีรายชื่อ 150 คน แต่ไม่เป็นผล เสียงส่วนใหญ่เอาตามพรรคพลังประชารัฐ และพรรคเพื่อไทย

พวกผม พรรคก้าวไกลทุกคน ทุกจังหวัด ทุกเขตเลือกตั้ง พร้อมที่จะต่อสู้ผ่านสนามการเลือกตั้ง ไม่ว่าผู้มีอำนาจจะพยายามออกแบบระบบการเลือกตั้งให้ตนเองได้เปรียบอย่างไร..” ถ้อยแถลงของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล  

ส่วนพรรคภูมิใจไทย ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขระบบเลือกตั้งกลับไปใช้ตามรัฐธรรมนูญ 2540 แต่ก็เลือก “งดออกเสียง” แทนโหวตไม่เห็นด้วย

ด้านสำนักข่าวออนไลน์สายตรงบ้านใหญ่บุรีรัมย์ เสนอบทวิเคราะห์ว่า “เกมนี้ดูเหมือนพรรคพลังประชารัฐกำลังจะเสียค่าโง่ให้กับพรรคเพื่อไทยมากกว่า” ใครก็รู้อยู่เต็มอกว่า กลเกมแก้ระบบไขเลือกตั้งเที่ยวนี้ พรรคเพื่อไทย ได้ประโยชน์สูงสุด เพราะฐานเสียงในภาคอีสาน และภาคเหนือ ยังเหนียวแน่นอยู่กับ “ทักษิณ ชินวัตร

พรรคพลังประชารัฐ อุดมไปด้วยนักเลือกตั้งมากประสบการณ์ เคยสังกัดพรรคไทยรักไทยมาก่อน ย่อมรู้ดีว่า กติกาแบบนี้ ใครได้เปรียบ เสียเปรียบ

เลือกตั้งปี 2548 วิรัช รัตนเศรษฐ์ สมัยอยู่พรรคมหาชน ก็มีภรรยา-ทัศนียา รัตนเศรษฐ์ คนเดียวที่รอดตายจากแลนด์สไลด์ของทักษิณ หรือตระกูล “อัศวเหม” ต้องสูญพันธุ์ไปจากสนามปากน้ำหลายสมัย เพราะทักษิณฟีเวอร์

ส.ส.พลังประชารัฐ ระดับ 4-5 พรรษา ต่างรู้จักฤทธิ์เดช “บัตร 2 ใบ” และชัยชนะแบบแลนด์สไลด์ของทักษิณมาแล้ว

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค ประเมินคู่ต่อสู้ต่ำไปหรือไม่? จึงแตะมือพรรคเพื่อไทย แก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องระบบเลือกตั้งที่พรรคของตัวเองเสียเปรียบ

หากอ่านใจแกนนำพลังประชารัฐ คงคิดว่าสูตรเลือกตั้งแบบ “เลือกคนที่รัก และเลือกพรรคที่ใช่” นั้น ไม่ได้คิดว่าพรรคจะได้ ส.ส.มากไปกว่าปี 2562 และตกเป็นรองเพื่อไทยแน่ แต่ระบบเลือกตั้งแบบนี้ มีประโยชน์แก่พรรคดังนี้

1.หยุดการเติบโตของพรรคก้าวไกล เพราะการเลือกตั้งหนหน้า พรรคก้าวไกลอาจจะไม่ได้ ส.ส.เขต และได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ จำนวนน้อย ในทางยุทธศาสตร์ พรรคพลังประชารัฐ มีโอกาสเป็นพันธมิตรกันมากกว่าพรรคก้าวไกล เพราะมีเรื่องของอุดมการณ์ทางการเมืองเข้ามาเป็นตัวแปร

2.คำขวัญ “เลือกคนที่รัก” อาจเหมาะกับ “ส.ส.บ้านใหญ่” ที่มีอยู่จำนวนมากในพรรคพลังประชารัฐ และเป็นทางออกกรณี “ผู้นำพรรค” ขายไม่ได้ ถ้าเป็น “บัตรใบเดียว” ทำให้ประชาชนตัดสินใจยาก แต่พอ “บัตร 2 ใบ” ชาวบ้านตัดสินใจง่าย เลือกคนที่รัก และเลือกพรรคที่ชอบอีกใบหนึ่ง

3.สูตรสำเร็จจากชัยชนะในการเลือกตั้งซ่อม อาจเป็นโมเดลหนึ่งที่ทำให้ “ธรรมนัส” มีความมั่นใจ ในการเจาะที่มั่นภาคอีสาน และภาคเหนือของพรรคเพื่อไทย 

4.พันธมิตรการเมืองท้องถิ่น ที่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งนายก อบจ.มากกว่า 20 สนามในภาคกลาง ภาคเหนือและภาคอีสาน คงจะทำให้ “ธรรมนัส” มีความมั่นใจ สำหรับการขอแบ่ง ส.ส.เขต จากพรรคเพื่อไทย

เมื่อ ส.ส.เขต เพิ่มจำนวนจาก 350 เป็น 400 คน พรรคที่มีความชำนาญในพื้นที่ หรือ “บ้านใหญ่” ย่อมมีโอกาสมากกว่าพรรคที่มีแต่ผู้สมัคร ส.ส.หน้าใหม่  พรรคภูมิใจไทย มีจุดแข็งไม่กี่จังหวัดในภาคอีสานตอนใต้ และอาศัย “บ้านใหญ่” ไม่กี่ซุ้มในภาคกลาง ส่วนภาคใต้ สมัยหน้าไม่ง่าย เมื่อ ปชป.ขอเรียกเก้าอี้คืน เช่นเดียวกับภาคเหนือ ที่บอดสนิท

ด้วยเหตุนี้ พรรคภูมิใจไทยจึงค้านหัวชนฝา ไม่อยากแก้ไขระบบเลือกตั้ง แถมยังปรามาสว่า พลังประชารัฐจะเสียค่าโง่ให้เพื่อไทย ที่ไปเล่นเกมบัตร 2 ใบ ซึ่งพรรคในเครือข่ายทักษิณมีความช่ำชองมากที่สุด

ถ้าการเลือกตั้งสมัยหน้า ได้ใช้กติกาใหม่ คงได้พิสูจน์ความเชื่อของ “ธรรมนัส” ว่า บัตร 2 ใบ จะนำชัยให้พรรคพลังประชารัฐ และบอนไซพรรคก้าวไกล  ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด “เพื่อไทย-พลังประชารัฐ” แก้รัฐธรรมนูญเพื่อสร้างอนาคตร่วมกัน ทำนองเรือล่มในหนองทองจะไปไหนเสีย อาจเป็นจริง