กลยุทธ์การลงทุน (27 ส.ค.64)

ปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนีฯ เป็น 1,730 จุด หลังจากกำไร บจ. ได้ผลกระทบน้อยมากจากโควิด

หลังจากเสร็จสิ้นการรายงานผลประกอบการไตรมาสสอง ทางเราได้ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและผลกำไรฯ ในช่วงครึ่งปีหลังและปีหน้า ผนวกกับสถานการณ์โควิดล่าสุด เราพบว่าแนวโน้มกำไรยังค่อนข้างดี และแทบไม่ได้รับผลกระทบจากการระบาด เนื่องจากกำไรของหุ้นกลุ่มใหญ่ไม่มีการปรับลดลง ขณะที่สมมติฐานของนักวิเคราะห์ในช่วงก่อนหน้านี้ สำหรับหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ระมัดระวังมากอยู่แล้ว โดยสรุป เราคาดกำไรต่อหุ้นของตลาดฯ ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ 91.0 เทียบกับ 92.0 ในช่วงก่อนการระบาดรอบใหม่ และเราปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนีฯ อีกครั้ง ขึ้นไปที่ สำหรับสิ้นปีนี้ เนื่องจากแนวโน้มผลประกอบการได้รับผลลบน้อยกว่าที่เรามองไว้เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว

ตัวเลขหลายตัวชี้ว่าสถานการณ์โควิดฯ ผ่านจุดที่แย่ที่สุดไปแล้ว

เราพบว่าตัวเลขการติดเชื้อ เสียชีวิต รวมทั้งผู้ป่ วยที่มีอาการหนักและผู้ใส่ท่อช่วยหายใจ น่าจะผ่านจุดพีคไปแล้วในช่วงกลางเดือนสิงหาคม ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่อระบบสาธารณสุขของประเทศไทย ส่วนประเด็นการฉีดวัคซีนนั้น ณ ขณะนี้ประเทศไทยมีผู้ฉีดวัคซีนครบสองโดสแล้ว อยู่ที่ ของประชากรซึ่งยังค่อนข้างน้อย อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่าตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไป น่าจะมีผู้ได้รับวัคซีนครบสองโดสเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งจากผู้ได้รับ AZ ในเดือนมิถุนายน และผู้ที่ได้รับวัคซีน SV ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งนี้เราเชื่อว่าสถานการณ์ในช่วงที่เหลือของปีจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากมีตัวเลขให้เห็นจากหลายประเทศว่า การฉีดวัคซีนถึงระดับหนึ่ง จะส่งผลให้ผู้ป่ วยหนักและเสียชีวิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

มองบวกกับตลาดในช่วงที่เหลือของปีนี้ แนะนำสะสมหุ้นธีมเศรษฐกิจภายในปรเทศ และหุ้นเชื่อมโยงการเปิดประเทศอีกครั้งหนึ่ง

ในระยะสั้น ตลาดการเงินกำลังติดตามการแถลงของประธานเฟดในวันนี้ เกี่ยวกับแนวทางการลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน อย่างไรก็ดี เรามองว่าประเด็นดังกล่าวจะมีผลจำกัดต่อตลาดหุ้นโลกและตลาดหุ้นไทย เนื่องจากได้รับรู้ไปก่อนหน้านี้ค่อนข้างมากแล้ว เราแนะนำให้นักลงทุนมองข้ามความผันผวนของตลาดในระยะสั้น และทยอยสะสมหุ้นตัวหลักอย่าง KBANK*, CPALL*, AOT*, CPN* รวมทั้งหุ้นขนาดกลางที่ได้ประโยชน์จากการทยอยเปิดเมือง เช่น BEM*, MAJOR*, SPA เป็นต้น