แนวทางรักษาโควิด 19 ยาแผนปัจจุบัน ควบคู่แผนไทย
![แนวทางรักษาโควิด 19 ยาแผนปัจจุบัน ควบคู่แผนไทย](https://image.bangkokbiznews.com/image/kt/media/image/news/2021/05/03/935772/750x422_935772_1619976313.jpg?x-image-process=style/LG)
การระบาดของโควิดระลอกเดือนเมษายน ทำให้มีผูป่วยจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่กทม.
ปริมณฑล ซึ่งหมายถึงทรัพยากรสาธารณสุข ที่ต้องใช้มากขึ้นทั้งบุคลากร เตียง รพ. และยาซึ่งขณะนี้มีทั้งการใช้ยาแผนปัจจุบัน และยาแผนไทยฟ้า ทะลายโจรในผู้ป่วยอาการไม่หนัก ควบคู่กัน
ข้อมูลเมื่อวันที่ 26 เม.ย. กทม. มีเตียง 12,679 เตียง ผู้ป่วยครองเตียง 7,959 เตียง มีเตียงว่าง 4,720 เตียง ซึ่งเป็นเตียงของโรงพยาบาลภาครัฐทุกสังกัดและเอกชน กรมการแพทย์ จึงได้ปรับแนวทางดูแลผู้ป่วยโควิด 19 ที่ไม่มีอาการและอาการน้อยเพื่อให้จัดการเตียงเพียงพอ
เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2564 นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ได้ออกประกาศ เรื่อง คำแนะนำในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด 19 สำหรับสถานพยาบาล ใจความว่า กรมการแพทย์ ออกประกาศ ปรับแนวทางดูแลผู้ป่วยโรคโควิด 19 เพื่อให้สามารถบริหารจัดการเตียงได้อย่างเพียงพอ ได้แก่
- คำแนะนำในการดูแลรักษา ผู้ป่วยอาการไม่หนัก
1. ผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่ไม่มีอาการ ให้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือสถานที่ที่รัฐจัดไว้ให้ เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 10 วัน นับจากวันแรกที่ตรวจพบเชื้อ และให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านต่ออีก 14 วัน
2. ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีอาการน้อย ให้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 10 วัน นับจากวันที่มีอาการ เมื่อครบกำหนดแล้วหากยังมีอาการ ให้อยู่รักษาต่อเนื่องในโรงพยาบาล หรือ สถานที่ที่รัฐจัดไว้ให้ จนไม่มีอาการเป็นระยะเวลา 24-48 ชั่วโมง และให้กลับไปพักที่บ้านต่ออีก 14 วัน
ทั้งนี้ระหว่างพักฟื้นที่บ้าน ให้ผู้ป่วยปฏิบัติตามตำแนะนำที่ได้รับก่อนกลับบ้านอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม ให้โรงพยาบาลมีระบบติดตามอาการเพื่อ ให้เกิดความมั่นใจและปลอดภัยต่อผู้ป่วย รวมถึงผู้ใกล้ชิดเป็นระยะ ๆ ทุกวันจนครบกำหนด หากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น ผู้ป่วยสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่หรือโรงพยาบาลได้ตลอด 24 ชั่วโมง
หากย้อนไปดูแนวทางการรักษาโควิด 19 ที่ออกมาก่อนหน้านี้ในวันที่ 17 เมษายน 2564 ในผู้ป่วย 2 กลุ่ม ดังกล่าว จะพบว่า
1. ผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่ไม่มีอาการ มีคำแนะนำให้นอนโรงพยาบาล หรือในสถานที่รัฐจัดให้อย่างน้อย 14 วัน นับจากวันที่ตรวจพบเชื้อ และให้ออกจากโรงพยาบาลได้ หากมีอาการปรากฏขึ้นมาให้ตรวจวินิจฉัยและรักษาตามสาเหตุ ให้ดูแลรักษาตามดุลยพินิจของแพทย์ไม่ให้ยาต้านไวรัส เนื่องจากส่วนมากหายได้เองและอาจได้รับผลข้างเคียงจากยา
2. ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง/โรคร่วมสำคัญ ภาพถ่ายรังสีปอดปกติ ให้ดูแลรักษาตามอาการ ส่วนมากหายได้เอง แนะนำให้นอนโรงพยาบาล หรือในสถานที่รัฐจัดให้ อย่างน้อย 14 วัน นับจากวันที่เริ่มมีอาการ หรือจนกว่าอาการจะดีขึ้น ไม่มีไข้หรือไม่มีอาการอื่น ๆ ของโรคแล้วอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง พิจารณาจำหน่ายผู้ป่วยได้ พิจารณาให้ฟาวิพิราเวีร์ (ตามดุลยพินิจของแพทย์)
- การส่งต่อผู้ป่วยอาการรุนแรง
หากมีอาการหนัก มีความจำเป็นเป็นโรคซับซ้อน จำเป็นต้องส่งต่อไปยัง รพ.ที่มีแพทย์เชี่ยวชาญ กรมการแพทย์ ได้แบ่ง กลุ่มเขตพื้นที่รับผิดชอบกรุงเทพฯ ออกเป็น 7 โซน ได้แก่ 1. รพ.พระมงกุฎเกล้าและรพ.ราชวิถี เป็นหัวหน้าโซน โดยจะช่วยดู รพ.เล็ก เป็นกลุ่มเครือข่ายในโซนนั้นๆ 2. รพ.จุฬาลงกรณ์ ซึ่งเป็นโซนใต้ 3.โซนเหนือ เป็นรพ.ธรรมศาสตร์ และรพ.ภูมิพล 4. โซนตะวันออก รพ.รามาธิบดี 5. โซน รพ.ศิริราช 6. โซน รพ.วชิรพยาบาล โดยทั้ง 6 โซนมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูแลประชาชนได้ดีที่สุด และ 7 โซนของภาคเอกชนจะมีรพ.เครือใหญ่ มีระบบดูแลในเครือกันเอง หากมีความจำเป็นต้องข้ามโซนก็จะประสานมาศูนย์บริหารจัดการที่ รพ.ราชวิถี
- การใช้ "ยารักษาโควิด 19"
ขณะที่ การใช้ยารักษาโควิด 19 ข้อมูล ณ วันที่ 17 เมษายน 2564) มียาแผนปัจจุบันที่สำคัญทั้งหมด 4 ตัว ได้แก่ “ฟาวิพิราเวียร์” (Favipiravir) (200 mg/tab) โดยผู้ใหญ่ วันที่ 1: 1800 mg (9 เม็ด) วันละ 2 ครั้ง วันต่อมา: 800 mg (4 เม็ด) วันละ 2 ครั้ง ถ้าน้ำหนักตัว >90 กิโลกรัม วันที่ 1: 2,400 mg (12 เม็ด) วันละ 2 ครั้ง วันต่อมา: 1,000 mg (5 เม็ด) วันละ 2 ครั้ง สำหรับเด็ก วันที่ 1: 60 mg/kg/day วันละ 2 ครั้ง วันต่อมา: 20 mg/kg/day วันละ 2 ครั้ง
“โลปินาเวียร์/ริโทนาเวียร์” (Lopinavir/ritonavir) (LPV/r) ผู้ใหญ่ เม็ด 200/50 mg/tab, น้ำ80/20 mg/mL 2 เม็ด ทุก 12 ชั่วโมง เด็กอายุ 2 สัปดาห์-1 ปี300/75 mg/m2/dose วันละ 2 ครั้ง อายุ 1-18 ปี 230/57.5 mg/m2/dose วันละ 2 ครั้ง โดยขนาดยาชนิดเม็ดตามน้ำหนักตัว ได้แก่ 15-25 กิโลกรัม 200/50 mg วันละ 2 ครั้ง , 25-35 กิโลกรัม 300/75 mg วันละ 2 ครั้ง และ 35 กิโลกรัมขึ้นไป 400/100 mg วันละ 2 ครั้ง
“เรมเดซิเวียร์” (Remdesivir) ผู้ใหญ่ วันที่ 1: 200 mg IV วันที่ 2-5: 100 mg IV วันละครั้ง ในส่วนของ เด็ก วันที่ 1: 5 mg/kg IV วันละครั้ง วันต่อมา : 2.5 mg/kg IV วันละครั้ง
“คอร์ติโคสเตียรอยด์” (Corticosteroid) ผู้ใหญ่ ให้ 7-10 วัน เดกซาเมทาโซน (Dexamethasone) 6 mg วันละครั้งหรือ ไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone) 160 mg ต่อวัน หรือ เพรดนิโซโลน (Prednisolone) 40 mg ต่อวัน หรือ เมทิลเพรดนิโซโลน (Methylprednisolone) 32 mg ต่อวัน ส่วนเด็ก ให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- ฟ้าทะลายโจร รักษาผู้ป่วยอาการไม่หนัก
ในส่วนของการนำสมุนไพรไทย “ฟ้าทะลายโจร” เป็นอีกทางเลือกที่ได้รับการยอมรับและนำไปรักษาควบคู่กับแพทย์แผนปัจจุบัน ในช่วงเดือนธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา ทางกรมกาแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้ร่วมมือกับ 9 โรงพยาบาลของรัฐ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ศึกษาวิจัย โดยได้จ่ายยาฟ้าทะลายโจรในการรักษาผู้ป่วย โควิด–19 ที่มีอาการรุนแรงน้อย ร่วมกับการรักษาทางแพทย์แผนปัจจุบัน จำนวน 309 ราย พบว่า ผู้ป่วย 306 ราย อาการดีขึ้นชัดเจน จนสามารถออกจาก รพ. ได้ ส่วนอีก 3 ราย เป็นกลุ่มที่มีอาการแย่ลง มีภาวะปอดบวม คิดเป็นผู้ป่วยอาการแย่ลง 0.97% แต่ที่สุดก็รักษาหาย ไม่มีใครเสียชีวิต
ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับฟ้าทะลายโจร เป็นกลุ่มผู้ป่วยอาการไม่รุนแรงเช่นกัน จำนวน 526 ราย มี 77 ราย ที่เกิดอาการแย่ลง มีภาวะปอดบวมคิดเป็น 14.64% ดังนั้น ฟ้าทะลายโจรมีแนวโน้มและโอกาสในการรักษาผู้ป่วยโควิด 19 ระยะเบื้องต้น และยังไม่มีข้อมูลใดที่บ่งชี้ว่าไม่ได้ผล ในทางกลับกันข้อมูลในห้องปฏิบัติการ การศึกษาในระดับเซลล์ และในต่างประเทศ ล้วนสนับสนุนว่า ฟ้าทะลายโจรมีประโยชน์ในการรักษาโควิด 19 และเชื้อไวรัสอื่นๆ ด้วย
ในการศึกษาวิจัย ในผู้ป่วยโควิด 19 ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อย ที่มีอาการคล้ายไข้หวัด ให้รับประทานฟ้าทะลายโจรที่มีแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) ขนาด 180 มิลลิกรัมต่อวัน รับประทาน 3 เวลาก่อนอาหาร ต่อเนื่อง 5 วัน เพื่อลดความรุนแรงและอาการแทรกซ้อนของโรค ปัจจุบัน กระทรวงสาธารณสุข ได้มอบฟ้าทะลายโจร 6 แสนแคปซูล สำหรับผู้ป่วย 15,000 ราย รวมถึง มหาวิทยาลัยรังสิต ยังได้มอบยาฟ้าทะลายโจรอีกกว่า 2 แสนเม็ดให้แก่ สธ. เพื่อใช้ในผู้ป่วยอาการไม่หนัก รพ.ทั่วประเทศ รวมถึง รพ.สนาม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ไขข้อสงสัย 'ฟ้าทะลายโจร' รักษา - ป้องกัน 'โควิด-19' ได้หรือไม่
- การดูแลตัวเองเมื่อรักษาหาย
แนวทางผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว กรมการแพทย์ แนะว่า
1. ไม่จำเป็นต้องกักตัวหรือแยกตัวจากผู้อื่นเพราะหายจากโรคแล้ว (ซึ่งต่างจากกรณีเป็นผู้สัมผัสความเสี่ยงสูงหรือเพิ่งจะได้รับการวินิจฉัย บุคคลเหล่านี้ยังอยู่ในระยะแพร่เชื้อ จึงต้องกักตัวหรือแยกตัวจากผู้อื่น)
2. การดูแลสุขอนามัย ให้สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า เมื่อต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่น
3. ล้างมือด้วยสบู่และนำเป็นประจำ โดยเฉพาะหลังจากถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระหรือถูมือด้วยเจลแอลกอฮอล์
4. ไม่ใช้อุปกรณ์รับประทานอาหารและแก้วน้ำร่วมกับผู้อื่น
5. ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่สุก สะอาด และมีประโยชน์ครบถ้วนตามหลักโภชนาการ
6. หากมีอาการป่วยเกิดขึ้นใหม่หรืออาการเดิมมากขึ้น เช่น ไข้สูง ไอมาก เหนื่อย แน่นหน้าอก หอบ หายใจไม่สะดวก เบื่ออาหาร ให้ติดต่อสถานพยาบาล หากต้องเดินทางมาสถานพยาบาล แนะนำให้สวมหน้ากากระหว่างเดินทางตลอดเวลา
หากมีข้อสงสัยใด ๆ สอบถามได้ที่โรงพยาบาลที่ท่านไปรับการรักษา หรือสายด่วนโทร. 1422 หรือ 1668