‘พรรคร่วมรัฐบาล’จ้องรื้อนั่งร้าน บีบ‘ประยุทธ์’ อยู่ต่อต้องเป็น‘ส.ส.’
การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 นับเป็น“จุดร่วมเดียวกัน”ของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน และรัฐบาล ที่ต่างหงายไพ่ในมือให้คนรอบวงได้เห็นความต้องการว่า มีประเด็นใดอยากแก้ไขบ้าง
หากมองภาพใหญ่แนวทางการแก้ไข มี 2 ทาง คือ แก้ทั้งฉบับ และแก้รายมาตรา ตรงนี้เป็นรายละเอียดที่การเมือง 2 ขั้ว ยังยืนอยู่คนละมุม
เมื่อ “พรรคร่วมฝ่ายค้าน” โดยเฉพาะ “พรรคก้าวไกล” ยังตั้งหน้าตั้งตา จะแก้ทั้งฉบับให้ได้ โดยให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ส.ส.ร.เป็นผู้ยกร่าง และถ้าจะต้องทำประชามติถามความเห็นประชาชนก่อนก็พร้อมดำเนินการ
ในส่วน “พรรคเพื่อไทย” ก็พร้อมร่วมผลักดันแก้ทั้งฉบับ แต่ยี่ห้อพรรคนายใหญ่ ดูเหมือนจะเดินเกมการเมืองยืดหยุ่นมากกว่า เห็นได้จากที่ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” เลขาธิการพรรคเพื่อไทยระบุว่า หากจะแก้ไข มาตรา 256 ก็จะร่วมยื่นญัตติด้วย พร้อมกับยืนยันจะไม่แตะหมวด 1 หมวด2 แต่หากไม่สามารถแก้ทั้งฉบับได้ “เพื่อไทย” ก็เตรียมยื่นแก้รายมาตรา
โดยประเด็นสำคัญของทาง “เพื่อไทย” คือการเสนอตัดอำนาจ ส.ว.ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ที่เป็นบทบัญญัตติในมาตรา 272 ของบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญ รวมถึงการแก้ไขระบบเลือกตั้งให้มี ส.ส.เขต 400 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน ด้วยการใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบสอดคล้องกับหนึ่งในข้อเสนอของ “พรรคพลังประชารัฐ” ที่เล็งแก้ระบบเลือกตั้งให้เป็นแบบเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขบนกระดานการเมืองปัจจุบัน คือการคงอยู่ของ “ส.ว.” ไม่เฉพาะพรรคร่วมฝ่ายค้านที่มองว่าเป็นปัญหา ฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาล ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทยและพรรคชาติไทยพัฒนา ต่างเห็นตรงกันว่า ควรตัดอำนาจโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีของ ส.ว.
นอกจากนั้น 3 พรรคร่วมรัฐบาล ยังมีความพยายามผลักดัน กรณีที่พรรคการเมืองจะไม่เสนอชื่อบุคคลที่พรรคสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในบัญชีของพรรคก็ได้
ที่สำคัญ การที่ 3 พรรคร่วมรัฐบาลตั้งธงไว้คือ เพิ่มบทบัญญัตติที่ว่า บุคคลที่พรรคการเมืองจะเสนอชื่อให้สภาโหวตลงมติเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องเป็น “ส.ส.”
น่าสนใจว่า การที่พรรคร่วมรัฐบาลขยับครั้งนี้ โดยจ้องจะหั่นอำนาจ ส.ว. และต้องการให้คนที่จะเสนอชื่อโหวตเป็นนายกรัฐมนตรีในสภาต้องเป็น ส.ส.นั้น ย่อมเล็งเห็นผลกระทบโดยตรงไปถึงพล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา” เนื่องจากนักการเมืองอาชีพคนอื่นๆ ไม่มีใครกลัวการเป็นผู้แทนราษฎร หรือ“ส.ส.”
เนื่องจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา “พล.อ.ประยุทธ์” ถือว่าได้เปรียบทุกประตู แม้จะวางตัวเหนือการเมืองมาตลอด ไม่ยอมผูกเป็นเนื้อเดียวกันกับ “พลังประชารัฐ” แต่ก็มั่นใจว่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีด้วยกติกาที่เอื้อ และมี “ส.ว.” เป็นฐานอำนาจสำคัญ
ดังนั้น การเดินเกมของพรรคร่วมรัฐบาลจึงพยายามรื้อนั่งร้านของ พล.อ.ประยุทธ์ และดึงพล.อ.ประยุทธ์ ลงสู่สนามการเมืองเต็มตัว หากคิดเป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัย ก็ควรลงสมัครเป็น ส.ส. ให้ชาวบ้านเลือกก่อน
เพื่อให้เป็นแบบเดียวกับที่พรรคการเมืองทั่วไปปฏิบัติคือ รายชื่อ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ อันดับ 1 ของพรรค เป็นที่รับรู้กันว่า คนที่พรรคนั้นๆ จะเสนอให้สภาโหวตเป็น “นายกรัฐมนตรี” ด้วยเสียงของ ส.ส. โดยที่ “ส.ว.” ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง