รู้ยัง!! 10 บจ.ถือบิทคอยน์สูงสุดในตลาดหุ้นสหรัฐ

รู้ยัง!! 10 บจ.ถือบิทคอยน์สูงสุดในตลาดหุ้นสหรัฐ

เปิด 10 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัที่ถือบิทคอยน์สูงสุด นำโดย MICROSTRATEGY มีมูลค่า 3,326.49 ล้านดอลลาร์ รองลงมาเป็น TESLA มีมูลค่า 2,021.40 ล้านดอลลาร์

ปัจจุบันคริปโทเคอร์เรนซี มีมูลค่าทางตลาดอยู่ที่ 1.6 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลกที่มีมูลค่าอยู่ประมาณ 70 ล้านล้านดอลลาร์ โดยคริปโทฯนั้น บิทคอยน์มีมูลค่าทางการตลาดสูงถึง 60%

ปัจจัยที่ส่งผลกับคริปโทฯคือเรื่องของเม็ดเงินในระบบ เพราะเมื่อมีเม็ดเงินไหลเข้าระบบมาก นักลงทุนก็พยายามหาสิ่งที่เป็นการลงทุนทางเลือกซึ่งในปัจจุบันเองก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง ได้แก่ทองคำและคริปโทฯ เมื่อตลาดโลกมีสภาพคล่องที่เพิ่มมากขึ้นจนนักลงทุนนำเงินไปลงที่บิทคอยน์ก็ทำให้ราคาเพิ่มมากขึ้นได้เช่นกันอีกประเด็นหนึ่งที่คนเริ่มหันมาลงทุนในคริปโทฯคือกลัวเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกจึงทำให้ต้องหาทางเลือกเพิ่มขึ้น

จากข้อมูลของ FURTUNE พบว่า  บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐที่ถือครองบิทคอยน์มากที่สุด10 อันดับนั้น นำโดย

1. MICRODTRATEGY 3,326.50  ล้านดอลลาร์

2. TESLA  2,012.40   ล้านดอลลาร์

3. GALAXY DIGITAL  767.61  ล้านดอลลาร์

4. MASS MUTUAL   248.04   ล้านดอลลาร์

5. MARATHON PATENT  225.25   ล้านดอลลาร์ 

6. SQUARE   220.38  ล้านดอลลาร์

7. HUT 8 MINING   133.43  ล้านดอลลาร์

8. VOYAGER DIGITAL   57.99   ล้านดอลลาร์

9. RIOT BLOCKCHAIN  54.99   ล้านดอลลาร์

10.COIN CITADEL   24   ล้านดอลลาร์

โดยที่ MICROSTRATEGY ไม่ค่อยมีคนรู้จักแต่กลายเป็นผู้จุดประกายให้ TESLA เข้ามาลงทุนบิทคอยน์นั่นเอง และยังมีหลายบริษัทที่เข้าลงทุนบิทคอยน์อีกในจำนวนที่แตกต่างกันไป

161751838621

จากงานสัมมนา “How To Win Game of Crypto เราจะเป็นผู้ชนะในโลกคริปโทฯได้อย่างไรจัดโดย วารสารการเงินธนาคารมีเนื้อหาที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่กำลังสนใจเริ่มเทรดสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะบิทคอยน์เป็นอย่างมาก

โดยในช่วงแรกของงานสัมมนา นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ทรีนีตี้ ได้พูดถึงพัฒนาการของคริปโทเคอร์เรนซีตั้งแต่ Wave1-Wave4 และเทรนด์ต่างๆได้อย่างน่าสนใจ

โดยสิ่งที่เราเห็นในปีนี้คือคริปโทเคอร์เรนซี ให้ผลตอบแทนค่อนข้างดี สินทรัพย์ที่ตรงข้ามกับดอลลาร์ให้ผลตอบแทนที่ดีเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคริปโทฯหรือบิตคอยน์ หุ้นทั่วโลก เทรนด์ต่างๆ ที่เราเห็นนั้นมีมาตั้งแต่ช่วงปีที่แล้ว ซึ่งถ้าดูการพัฒนาของบิทคอยน์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคริปโทฯ จะเห็นได้ว่าบิตคอยน์มีมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 6,000 ดอลลาร์จนมาในปัจจุบันนั้นมีมูลค่าสูงถึง 60,000 ดอลลาร์

จากที่ทรีนิตี้ได้ทำการศึกษาพัฒนาการของคริปโทฯ จะเห็นได้ว่าบิตคอยน์จะมี Wave การพัฒนาอยู่โดย Wave แรกนั้นมาจากนักลงทุนรายย่อยซึ่งทำให้บิตคอยน์มีราคาขึ้นจาก 6,000 สู่ประมาณ 20,000 ดอลลาร์ Wave2 จะเป็นช่วงที่ราคาจาก20,000- 40,000 ดอลลาร์ ซึ่งเกิดจากการเข้ามาของนักลงทุนสถาบันอย่าง GreyScaleที่เริ่มสะสมบิตคอยน์

Wave3 คือเรื่องของบริษัทที่เริ่มเข้ามาใช้บิทคอยน์เป็นสกุลเงินแลกเปลี่ยนในการทำธุรกรรมต่างๆ เช่น บริษัท Square Mass Mutual Microstrategyและ Paypalในส่วนของ Wave4 นั้นถือว่าน่าสนใจเพราะธนาคารกลางในแต่ละประเทศเริ่มใช้สกุลเงินดิจิทัลมากขึ้นซึ่งทำให้บริมาณธุรกรรมที่จะไปลงทุนในเงินดิจิทัลมีมากขึ้น

ถ้าดูจำนวนวอลเล็ทสำหรับสกุลเงินดิจิทัลในปัจจุบันนั้นมีเพิ่มขึ้นถึง 70 ล้านวอลเล็ททั่วโลกซึ่งบิทคอยน์พัฒนามาจากเงินพลาสติกจนพัฒนาไปเป็น e-Money จนสุดท้ายกลายเป็นสกุลเงินดิจิทัล คริปโทฯส่วนหนึ่งที่ได้รับความนิยมเพราะว่ามันไม่มีขอบเขต ไม่มีต้นทุนการเก็บรักษาและผลิตค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับทองคำหรือเงินสด

แน่นอนว่าการลงทุนในคริปโทฯนั้นมีความเสี่ยงทั้งในเรื่องของกฎเกณฑ์ต่างๆ การโจรกรรม และการโจมตีของเหล่าแฮคเกอร์ สิ่งที่ทรีนิตี้แนะนำสำหรับการเทรดคริปโทฯคือ ให้มองเป็นส่วนหนึ่งในการทำ Asset Allocation คริปโทฯถือเป็นการลงทุนทางเลือกที่ควรมีสัดส่วน 1-5% ของพอร์ต ซึ่งพอร์ตหลักควรจะไปอยูที่หุ้น ตราสารหนี้และกองรีท

สิ่งที่น่าสนใจว่าทำไมต้องมีคริปโทฯเพราะมีค่าสหสัมพันธ์กับสินทรัพย์อื่นต่ำ เป็นตัวของตัวเองและไม่มีความสัมพันธ์กัสินทรัพย์ชนิดอื่นๆมาก ในปัจจุบันประเทสไทยเองก็มี Exchange ที่รองรับการซื้อขายอยู่ 6 ที่ ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์ทรีนิตี้เป็นผู้แนะนำในการลงทุนและเปิดพอร์ตร่วมกับ Satang และ Bitkubและมีการให้ความรู้เกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลกับคริปโทฯ นักลงทุนที่สนใจก็สามารถเข้ามาศึกษาและเริ่มเทรดคริปโทฯได้

นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ บรรยายหัวข้อจับสัญญาณ Bitcoin Halving การแบ่งครึ่งที่ช็อกโลกคริปโทเคอร์เรนซี่

นายจิรายุส มองว่าปี 2564คือปีทองของ Bitcoin Halving ครั้งที่ 3 โดยได้เกิด Halving ขึ้นเมื่อเดือน ..2563ซึ่งสถิติในอดีตหลังการ Halving ประมาณ 6 เดือนราคาจะปรับขึ้น ทำให้เราได้เห็นราคาบิตคอยน์พุ่งแรงนับตั้งแต่ปลายป2563มาจนถึงต้นปี 2564ที่ประมาณ 50,000-60,000 ดอลลาร์ต่อบิตคอยน์  

 การปรับขึ้นรอบนี้ต่างจากการ Halving 2 ครั้งที่อยู่ 2 ประเด็น 1.เป็นเงินสถาบันเข้ามาซื้อบิตคอยน์ ต่างจากก่อนหน้านั้นที่เป็นเงินรายย่อย 2.สถานการณ์โควิด-19 ทำให้รัฐบาลสหรัฐผลิตเงินมากระตุ้นเศรษฐกิจ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 40% ของเงินดอลลาร์ที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจทั้งหมดในระยะเวลาเพียงแค่ 12 เดือนทำให้ค่าเงินดอลลาร์ลดลง คนจึงเริ่มกระจายความเสี่ยงไปถือสินทรัพย์อื่น รวมถึงคริปโท

 “มูลค่าตลาดคริปโทเคอร์เรนซีปัจจุบันประมาณ 1.6-1.7 ล้านล้านดอลลาร์ หรือแค่ 10% ของมาร์เก็ตแคปทองคำส่วนมูลค่าตลาดหุ้น 70 ล้านล้านดอลลาร์ มูลค่าตลาดตราสารหนี้ 100 ล้านล้านดอลลาร์ จากทั้งโลกประมาณ 500 ล้านล้านดอลลาร์ ตลาดคริปโทฯ จึงน่าจะโตได้อีกมาก”               

นายจิรายุส กล่าวว่า ประการสำคัญที่จะทำให้ตลาดคริปโทโตขึ้นไปอีก คือ 1.สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมายแล้วในหลายประเทศรวมทั้งในไทย และทั่วโลกเองก็มีศูนย์ซื้อขายภายใต้กฎหมาย ทำให้สถาบันกล้าเข้ามาซื้อคริปโทฯ และ 2.มีบริษัทที่ทำคัสโตเดียนได้อย่างปลอดภัย เช่น ประเทศสหรัฐ The Office of the Comptroller of the Currency (OCC) ก็อนุญาตให้ธนาคารในสหรัฐฯ สามารถนำเสนอบริการ ดูแลและรับฝากทรัพย์สินประเภทคริปโทเคอร์เรนซี (Crypto Custody) แก่ลูกค้าได้ นักลงทุนสถาบันจึงมั่นใจเรื่องความปลอดภัยของการจัดเก็บสินทรัพย์และเข้ามาลงทุนมากขึ้น

นายปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น บรรยายในหัวข้อเกาะติดปรากฏการณ์Bitcoin Fever กับคลื่นนักลงทุนสถาบันหรือวาฬแห่งโลกคริปโทเคอร์เรนซี            

นายปรมินทร์ กล่าวว่า การเข้ามาในตลาดคริปโทเคอร์เรนซีของอีลอนมัสก์ ต้องยอมรับว่าทำให้เป็นที่สนใจของผู้คนทั่วโลก โดยเฉพาะการประกาศยอมรับบิตคอยน์ในการซื้อรถยนต์เทสลาและที่สำคัญเทสลาจะไม่แปลงบิตคอยน์เป็นดอลลาร์สหรัฐ แต่จะเก็บในรูปของบิตคอยน์  ซึ่งประเด็นนี้น่าจะกดดันให้ซัพพลายเชนที่ทำธุรกิจร่วมกับเทสลาอาจจะถูกบังคับไปโดยปริยายให้ใช้บิตคอยน์ไปด้วยซึ่งก็จะทำให้เกิดการยอมรับในการใช้งานมากขึ้น 

แนวโน้มตลาดคริโทเคอร์เรนซีนับจากนี้ไป มีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก แม้เราจะเริ่มเห็นสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่เข้ามาในตลาดแล้ว แต่เชื่อว่านั่นเป็นเพียงแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็งที่เรามองเห็นเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วยังมีส่วนที่ซ่อนอยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็งอีกจำนวนมากที่รอวันปะทุ

สถาบันต่างๆ ก็ออกมาคาดการณ์ว่าจะมีเม็ดเงินอีกจำนวนมากไหลเข้ามาลงทุนในบิทคอยน์อ้างอิงจาก JMP Securities มีการคาดการณ์ว่าจะมีเม็ดเงินรอเข้ามาอีกสูงถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ  นอกจากนี้ กลุ่มเบบี้บูมเมอร์ที่มีเงินเก็บก็เริ่มสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในคริปโทฯ มากขึ้น มันจึงไม่ใช่เพียงแค่เจน X หรือเจน Y อีกต่อไปที่สนใจในสินทรัพย์ประเภทนี้ 

 "โดยเฉพาะการเข้ามาของเทสลา มันเป็นการการันตีให้กลุ่มเบบี้บูมเมอร์ มีความมั่นใจแล้วก็เริ่มสนใจที่จะลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีมากขึ้น ซึ่งกลุ่มนี้เขามีเงินเก็บจำนวนมากพอที่จะแบ่งมาลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ได้"               

สำหรับสัดส่วนการลงทุนในคริปโทฯ ที่สถาบันการเงินส่วนใหญ่แนะนำและเขาก็เห็นด้วยคือ 5% ของพอร์ตการลงทุนเพราะแม้ว่าราคาบิทคอยน์จะมีความผันผวนน้อยลง หลังสถาบันเริ่มเข้ามาถือครอง แต่อย่างไรก็ตาม ความผันผวนก็ยังมากกว่าสินทรัพย์ชนิดอื่น อย่างเช่น เมื่อเทียบกับหุ้นที่ยากมากจะผันผวนต่อวัน 20-30% ขณะที่บิตคอยน์ยังคงสามารถขึ้นลงได้ภายในวันเดียวกว่า 30%            

นายปรมินทร์ยังได้ กล่าวถึง 6 ปัจจัยที่กระทบตลาดคริปโทฯ ดังนี้

1.โควิด-19 ที่ทำให้รัฐบาลต้องพิมพ์เงินเพิ่มเพื่อแจกจ่ายให้ประชาชน จะทำให้เกิดเงินเฟ้อ และบริษัทต่างๆ จึงต้องการหนีเงินเฟ้อด้วยการไม่เก็บเงินในรูปของดอลลาร์แต่ย้ายมาเก็บเป็นบิตคอยน์แทน ซึ่งถือเป็นภารกิจของ CFO ที่ต้องบริหารจัดการเรื่องการเงินในบริษัทไม่ให้เสื่อมค่า

2.เทศกาล Altcoins คือวัฏจักรที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ โดยจะขึ้นตามหลังเหรียญหลักอย่างบิตคอยน์ ซึ่งก็ได้ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องนำไปก่อนแล้วนับตั้งแต่ต้นปีนี้ 

3.กระแสการเริ่มยอมรับคริปโทเคอเรนซี ซึ่งเริ่มเห็นแล้วจากอดีตที่การยอมรับว่าบิตคอยน์สามารถใช้จ่ายได้ยังคงมีน้อย เพราะราคายังผันผวน แต่พอสถาบันเข้ามาความผันผวนของราคาจึงน้อยลงคนจึงกล้ารับมากขึ้น เช่น PayPal ที่เปิดให้ 27 ล้านร้านค้ารับการชำระเงินด้วยคริปโทฯ

4.การมาของ Central Bank Currencies (CBDCs) ยกตัวอย่าง เช่น หยวนดิจิทัล มองว่าน่าจะเข้ามาส่งเสริมคริปโทเคอเรนซี เนื่องจากเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง CBDC และคริปโทเคอเรนซีคือบล็อกเชนเหมือนกัน ดังนั้น การมาของCBDC ผู้คนไม่ต้องมาเริ่มเรียนรู้อะไรใหม่ แต่จะสามารถใช้ CBDC ได้เลย

 5.ETF บิทคอยน์ ปัจจุบัน ETF แคนาดามีแล้วแต่ผู้คนยังคงรอ ETF บิทคอยน์ ในสหรัฐฯ เพราะจะทำให้นักลงทุนรายย่อยหรือสถาบันเข้าไปลงทุนได้สะดวก มากยิ่งขึ้นไปอีก

6.การกำกับของทางการ อย่างในไทยก็มีเกณฑ์คุณสมบัตินักลงทุนคริปโทฯ ซึ่งหน่วยงานกำกับทั่วโลกในวงการนี้สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดนี้เริ่มมีพัฒนาการ ทำให้ดึงดูดความสนใจจากหน่วยงานกำกับที่อยากจะเข้ามาดูแลมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม มองว่าไม่ว่ากฎเกณฑ์กติกาต่างๆ จะออกมาจะเป็นในแง่ดีหรือไม่ดีต่อตลาดแต่ท้ายที่สุดทุกคนก็คงจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย