จับสัญญาณ 'ยุบสภา' แก้เกมเพลี่ยงพล้ำปลายปี
นักเลือกตั้งจมูกไว รู้ถึงทิศทางลมและสถานการณ์การเมืองได้ก่อนเสมอ เช่นเดียวกับในขณะนี้ที่บรรดานักการเมืองฝ่ายค้านจำนวนไม่น้อยพูดถึงการ “ยุบสภา” ของรัฐบาลกันแล้วว่า มีโอกาสเกิดขึ้นได้ในช่วงปลายปีนี้
การเก็งข้อสอบเรื่องการ “ยุบสภา” เพื่อ “เลือกตั้งใหม่” ของคนในฝ่ายค้าน ถูกพูดถึงมากพอๆกับความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองใหม่ที่ชื่อ “รวมไทยสร้างชาติ” ที่มี “ปลัดฉิ่ง” หรือ “ฉัตรชัย พรหมเลิศ” ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นตัวตั้งตัวตีปลุกปั้น
“ปลัดฉิ่ง” ที่มีพวกในหลายพรรค จึงให้คนทั้งใน “พลังประชารัฐ” ไม่เว้นแม้แต่ “เพื่อไทย” ช่วยจัดหาชาวบ้านมาเป็นสมาชิกพรรค
นี่จึงเป็นสัญญาณสำคัญ ที่อาจบ่งบอกว่า ฤดูกาลเลือกตั้งกำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า
ปัจจัยอื่นที่เกื้อหนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หากต้องยุบสภาช่วงปลายปี เงื่อนไขสำคัญคือการมีอยู่ของ 250 ส.ว. ซึ่งเป็นนั่งร้าน และมีอำนาจโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ 60
ไม่ว่าหลังการเลือกตั้ง “พลังประชารัฐ” หรือ บรรดาพรรคสำรอง และพรรคสาขา จะได้เสียงน้อยกว่าคู่แข่งที่ได้เสียอันดับ 1 ก็ตาม ก็ยังมีสิทธิรวบรวมเสียงแข่งจัดตั้งรัฐบาลได้อยู่ดี แถมยังมี250 ส.ว.ตุนไว้เรียบร้อย
เมื่อมองคู่แข่งสำคัญอย่าง “ก้าวไกล” คนใน “พลังประชารัฐ” มองตรงกันว่า กระแสในการเลือกตั้งครั้งหน้าต่างจากสมัย “อนาคตใหม่” ที่กวาด ส.ส.ได้ร่วมๆ ร้อยชีวิต เพราะได้ปัจจัยหนุนกรณี“ไทยรักษาชาติ”ถูกยุบ จึงส่งผลให้คะแนนเทมาจนมี ส.ส.ส้มหล่นจำนวนมาก ทว่าต่อไปคงไม่ง่ายสำหรับ “ก้าวไกล”
ขณะเดียวกัน สนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนกันยายนนี้ หากบุคคลที่ผู้มีอำนาจวางตัวให้เป็นพ่อเมืองหลวงอย่าง “พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา” เข้าป้ายได้ตามเป้า ก็เป็นอีกสัญญาณบวกสำหรับรัฐบาล หากคิดจะยุบสภาเลือกตั้งใหม่คงมั่นใจระดับหนึ่งว่าประชาชนยังตอบรับ
รวมถึงผลงานของรัฐบาลที่ได้ทำมาตั้งแต่สารพัดโครงการเยียวยาจากสถานการณ์โควิด ติดใจประชาชน การจัดหาวัคซีน ล้วนเป็นจุดขายในสนามเลือกตั้งได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม หาก “ยุบสภา” แล้วสถานการณ์ย่ำแย่ หรือเพลี่ยงพล้ำกว่าที่คาด แกนนำใน“พลังประชารัฐ” ก็ดีดลูกคิด เตรียมทางออกไว้แล้วว่า เมื่อยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ต้องช่วงชิงจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
เมื่อสามารถจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ ภารกิจต่อไปที่ต้องทำให้ลุล่วงภายในเวลาไม่กี่เดือน คือผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปีถัดๆ ไป ก่อนที่จะยุบสภาเลือกตั้งใหม่อีกรอบ เพื่อเป็นการตัดกำลังคู่แข่งไปในตัว
ดังนั้นหากมีการยุบสภาปลายปีนี้ด้วยเหตุผลเรื่องความได้เปรียบทางการเมือง ก็ไม่แน่ว่าในปี65 อาจมีการเลือกตั้งใหญ่เกิดขึ้นถึง 2 ครั้ง คือช่วงต้นปีและปลายปี
เพราะนาทีนี้ คงไม่มีใครพร้อมเลือกตั้งไปมากกว่าผู้กุมอำนาจรัฐในขณะนี้ ที่เปี่ยมขุมกำลัง มีทั้งทรัพยากร เงิน อำนาจรัฐ และเครือข่ายต่างๆ ในมือ ถือเป็นเกมต่อท่ออำนาจชนิดที่ไม่ต้องการให้ถูกช่วงชิง