‘GULF’ เล็งซื้อโรงไฟฟ้า ทั้งในและต่างประเทศ ดันกำลังการผลิตโตต่อเนื่อง

‘GULF’ เล็งซื้อโรงไฟฟ้า ทั้งในและต่างประเทศ ดันกำลังการผลิตโตต่อเนื่อง

"กัลฟ์" เดินหน้าขยายกำลังการผลิต ชี้ ธุรกิจโรงไฟฟ้าเติบโตอีกมากในอนาคต เผย อยู่ระหว่างเจรจา ซื้อการทั้งในไทย-ต่างประเทศ พร้อมตั้งงบลงทุน10ปี แสนล้าน ขณะที่คงเป้ารายได้ปีนี้โต 50% จากปีก่อน คงงบลงทุนที่ 4 หมื่นล้าน

นายรัฐพล ชื่นสมจิตต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนของบริษัทยังเติบโตต่อเนื่องทุกปี จากปัจจุบันที่มี PPA แล้วจำนวน 1.4 หมื่นเมกะวัตต์ เนื่องจาก ความต้องการใช้ไฟฟ้ายังมีอีกมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังมีราคาถูกลงเรื่อย ๆ

โดยความต้องการใช้พลังงานหมุนเวียนในยุโรปภายใน 20 ปีข้างหน้า จะมีการพัฒนาถึง 400,000 เมกะวัตต์ และในสหรัฐ100,000 เมกะวัตต์ ขณะที่ในเวียดนาม คาดสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนและโรงไฟฟ้าก๊าซ อีก 40,000 เมกะวัตต์

ทั้งนี้บริษัทยังมองหาโอกาสการควบรวมกิจการและซื้อกิจการ (M&A)ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ยุโรป สหรัฐ เวียดนาม ไต้หวัน ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สร้างการเติบโตควบคู่กับการพัฒนาโครงการตั้งแต่ต้นไปพร้อมกัน

ส่วนความคืบหน้าในการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำที่สปป.ลาวคาดชัดเจนในครึ่งปีหลัง 2564

นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ กล่าวว่า ทางด้านงบลงทุนใน10 ปีข้างหน้า คาดว่าจะใช้อีกราว 100,000 ล้านบาท โดยในปีนี้ จะใช้งบลงทุนราว 30,000-40,000 ล้านบาท สำหรับใช้ลงทุนโครงการที่มีอยู่และโครงการใหม่ เช่น การ M&A ในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ และ ลงทุนในโครงการเดิม ขณะที่บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้ ประมาณ 10,000-20,000 ล้านบาท

บริษัทยังคงเป้าหมายในปีนี้มีโครงการโรงไฟฟ้าที่จ่ายไฟเข้าระบบ (COD)ที่ 7,900 เมกะวัตต์ และเพิ่มเป็น 14,304 เมกะวัตต์ในปี 2570 หรือเติบโตเฉลี่ย10.4% ต่อปี เป็นการเติบโตขึ้นต่อเนื่องตามการ CODโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) จำนวน 5,000 เมกะวัตต์ เช่น โครงการโรงไฟฟ้าหินกอง ราชบุรี ,โครงการโรงไฟฟ้า บูรพา ,โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ โอมานและโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมแม่โขงในเวียดนนาม โดยปัจจุบันบริษัทมีโรงไฟฟ้าที่ COD แล้ว 6,409 เมกะวัตต์

สำหรับรายได้ปีนี้ ยังคงตั้งเป้าหมายเติบโต 50% จากปี 2563 ที่มีรายได้ 35,833 ล้านบาท จากมีโรงไฟฟ้าจ่ายไฟเพิ่มอีก1,494 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น โรงไฟฟ้า IPP กำลังการผลิต 2,650 เมกะวัตต์

ด้านโครงสร้างพื้นฐานก็จะมีโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 คาดว่าจะเซ็นสัญญาร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ในไตรมาส 2ปี2564 โดยตามแผนงานการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) จะมีการถมทะเล 2 ปี และจากนั้นบริษัทจะเข้าไปทำการก่อสร้างท่าเทียบเรือ โดยใช้ระยะเวลา 2 ปี คาดว่าท่าเทียบเรือ F1 จะแล้วเสร็จได้ในปี 2568 ส่วนค่าเทียบเรือ F2 จะแล้วเสร็จปี 2572, โครงการติดตั้งและบริหารระบบเก็บเงิน (O&M) มอเตอร์เวย์บางปะอิน-นครราชสีมา (M6) และมอเตอร์เวย์บางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) คาดว่าจะเซ็นสัญญา PPP ได้ช่วงไตรมาส 2ปี2564

“ซึ่งหากโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เสร็จนั้น จะทำให้บริษัทมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 10-15 % ขณะที่สัดส่วนรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าอยู่ที่85% เพราะ บริษัทมีแผนขยายกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าต่อเนื่อง ”