TNP - ถือ

TNP - ถือ

คาดกำไรงวด 1Q64 ทำจุดสูงสุดใหม่รายไตรมาส

ประเด็นสำคัญในการลงทุน

  • กำไรงวด 4Q63เท่ากับ 44 ลบ. +36%YoY +47%QoQ: บริษัทรายงานกำไรงวด 4Q63 เท่ากับ 44 ลบ. (เหนือคาด 33%) +36%YoY +47%QoQ โดยบริษัทมีรายได้เท่ากับ 616 ลบ. (เหนือคาด 6%) +22%YoY +18%QoQ ตามทิศทางการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้นสู่ 32 สาขา จากปีก่อนมี 28 สาขา ประกอบกับเป็น High Season ของปี และได้อานิสงส์จากมาตรการปรับเพิ่มวงเงินสวัสดิการฯ และ ‘คนละครึ่ง’ ช่วยหนุน SSSG +5% โดยทั้งปี 63 บริษัทมีรายได้และกำไรเท่ากับ 2,196 ลบ. +12%YoY และ 134 ลบ. +51%YoY ตามลำดับ
  • คาดผลประกอบการใน 1Q64 เดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง: หลังจากงวด 4Q63 บริษัทเพิ่งทำกำไรสูงสุดรายไตรมาส เราคาดว่าในงวด 1Q64 ผลประกอบการจะเดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่เช่นกัน โดยจะได้แรงหนุนโดยตรงจากโครงการเพิ่มวงเงินในบัตรคนจนหรือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐระยะที่ 2 ต่ออีก 3 เดือน (1 .. ถึง 31 มี..64) ซึ่งจะเป็นการรับรู้เต็มไตรมาส เทียบกับงวด 4Q63 ที่มาตรการดังกล่าวเริ่มช่วงปลาย ต..63 ถึง 31 ..63 ประกอบกับบริษัทเพิ่งเปิดสาขาใหม่อีก 1 แห่ง ที่ จ.เชียงราย เมื่อช่วงเดือน ก..ที่ผ่านมา โดยเราคาดว่างวด 1Q64 บริษัทจะมีรายได้และกำไรราว 646 ลบ. +18%YoY +4.8%QoQ และ 45 ลบ. +44%YoY +3%QoQ ตามลำดับ
  • คาดกำไรปี 64 โตต่อเนื่อง 11%YoY จากแผนขยายอีก 5 สาขา: เราคงประมาณการรายได้ในปี 64 ราว 2,430 ลบ. +11%YoY บนสมมติฐานการขยายสาขาเพิ่มอีก 5 สาขา โดยแบ่งเป็นไตรมาสละ 1 สาขาในช่วง 1H64 และช่วง 2H64 อีก 3 สาขา กระจายเปิดในจังหวัดเชียงราย พะเยา และเชียงใหม่ ขณะที่ %GPM คาดจะทรงตัวในระดับสูงที่ระดับ 5% จากปี 63 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 16.3% ตามการขยายสาขาค้าปลีกซึ่งมีอัตรามาร์จิ้นที่ระดับ 17-18% ประกอบกับได้อานิสงส์ทางตรงและทางอ้อมจากมาตรการภาครัฐที่ขยายระยะเวลาและเพิ่มวงเงินต่อเนื่อง อาทิ คนละครึ่ง” “บัตรสวัสดิการฯ” “เราชนะ และ .33 เรารักกัน ส่วน %SG&A/Sales คาดจะปรับลดลงสู่ 9.5% (ใกล้เคียงกับปี 63 ที่ 9.4%) จากเดิมคาดที่ 10% ส่งผลให้เราปรับประมาณการกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นสู่ 149 ลบ. (เพิ่มขึ้น 6.5%) เติบโต 11%YoY
  • ปรับคำแนะนำเป็น ถือจากเดิม ซื้อ ปรับราคาเหมาะสมเพิ่มขึ้นเป็น 66 บาท จากเดิม 4.30 บาท เราปรับราคาเหมาะสม TNP ขึ้นสู่ 4.66 บาท จากเดิม 4.30 บาท จากการปรับคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นขึ้นสู่ 0.186 บาท/หุ้น จากเดิม 0.175 บาท/หุ้น และคง Prospective PER ที่ระดับ 25x ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 32x อย่างไรก็ดี เราปรับคำแนะนำเป็น ถือ จากเดิม ซื้อ หลังจากราคาเหมาะสมมีอัพไซต์น้อยกว่า 10%

ปัจจัยเสี่ยง

        i) แนวโน้มการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในอุตสาหกรรมค้าปลีก

        ii) แผนการขยายสาขาไม่เป็นไปตามเป้า

        iii) การเติบโตของยอดขายสาขาเดิมเริ่มชะลอลง

        iiii) ภาครัฐหยุดกระตุ้นเศรษฐกิจ