‘บลจ.กรุงไทย’ มองหุ้นไทยอัพไซด์รับวัคซีน มองสิ้นปี1,600 จุด

‘บลจ.กรุงไทย’ มองหุ้นไทยอัพไซด์รับวัคซีน มองสิ้นปี1,600 จุด

“บลจ. กรุงไทย” คาดดัชนีหุ้นไทยปีนี้ยังมีอัพไซด์แตะ 1,600จุด ขานรับวัคซีน หนุนหลังท่องเที่ยวและแบงก์น่าสนใจ พร้อมแนะนักลงทุนกระจายความเสี่ยงไปต่างประเทศโดยเฉพาะเอเชีย เน้นเพิ่มน้ำหนักหุ้นจีน ยังโตดี

นายสมชัย อมรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน และลูกค้าสัมพันธ์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)  กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หุ้นไทยปีนี้ยังมีโอกาสอัพไซด์นับจากนี้ประมาณ 8-10% หนุนให้ดัชนีสิ้นปี 2564 แตะที่ระดับ 1,600 จุดได้ แต่ตลาดหุ้นไทยและเศษฐกิจไทยจะกลับมาฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดมากขึ้นในช่วงปี 2565 เป็นต้นไป

สำหรับปัจจัยหนุนตลาดหุ้นเศรษฐกิจยังคงเป็นเรื่องของวัคซีนโควิด-19 ว่ามีประสิทธิภาพและการกระจายวัคซีนให้ทั่วถึงได้รวดเร็วมากน้อยแค่ไหน รวมถึงภาคท่องเที่ยวที่จะกลับเข้ามาด้วย ซึ่งในตอนนี้ได้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มพิเศษได้เดินทางเข้ามาแล้ว แต่โดยรวมยังถือว่ามีสัดส่วนที่น้อยอยู่มาก

สำหรับกลุ่มหลักทรัพย์ที่น่าสนใจ ยังคงเน้นหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากโครงการช่วยเหลือของภาครัฐผ่านโครงการต่างๆ หุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการกลับมาของภาคท่องเที่ยว แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่กลับมาฟื้นตัว แต่หลังจากที่มีการกระจายวัคซีนโควิด-19 ทั่วประเทศโอกาสที่ท่องเที่ยวทยอยกลับมาเริ่มมีบ้าง

ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารถือเป็นหนึ่งในกลุ่มมหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวเศรษฐกิจ และการที่ราคาปรับขึ้นในช่วงนี้เป็นผลมาจากที่ผ่านมาราคาหุ้นธนาคารอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามคุณภาพหนี้หลังหมดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ในอนาคต หากเห็นภาพชัดเจนก็จะประเมินและเลือกหุ้นธนาคารได้ง่ายขึ้น

อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้ภาคท่องเที่ยวของไทยยังไม่กลับมา เศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะเติบโตที่ 3% ในปีนี้ ยังคงต้องหันมาพึ่งมาตราการการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศของภาครัฐต่างๆให้มีอย่างต่อเนื่อง การระบาดของโควิด-19 ระรอกใหม่ประชาชนยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนเดิมทำให้ภาพเศรษฐกิจยังดีกว่าช่วงที่ปิดเมือง

แต่การระบาดระรอกสองส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการขนาดใหญ่ๆต่างๆเช่นกัน เพราะรัฐจำเป็นต้องโยกเงินที่จะใช้ในโครงการฯดังกล่าวมาใช้เยียวยาประชาชนแทน แม้ว่าการเยียวยาประชาชนจะเป็นการช่วยเศรษฐฏิจในระยะสั้นก็ตาม แต่ก็นับว่ามีความจำเป็นเช่นกัน

นายสมชัย แนะนำว่า นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศ และตาดเอเชียมีความน่าสนใจค่อนข้างมาก เนื่องจากมีโอกาสเเติบโตค่อนข้างสูง ด้วยประชากรของประเทศจีนและอินเดียที่มีเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ปัจจุบันประชากรของทั้งสองประเทศรวมกันก็มีมากถึงหนึ่งในสามของโลกแล้ว หากเจาะลึกลงไปจะเห็นถึงความสามารถในการจับจ่ายจากการเพิ่มขึ้นของประชากรมีสูงมาก และการเพิ่มขึ้นของรายได้ของระชากรกว่า 90% เป็นประชากรในพื้นที่เอเชีย

รวมถึงประเทศไต้หวันและเกาหลีมีความเชี่ยวชาญและเป็นผู้นำด้านเทคโนนโลยีที่ทันสมัย ทำให้ตลาดหุ้นในกลุ่มเอเชียมีความน่าสนใจมากเมื่อเทียบกับกลุ่มตลาดอื่น และยังคงให้น้ำหนักหุ้นจีนเป็นหลัก

สำหรับกองทุนแนะนำ ได้แก่ กองทุนเปิดเคแทม เอเชีย โกรทอิควิตี้ ฟันด์ (KT-ASIAG) ซึ่งเป็นกองทุนรวมตราสารทุน กองทุนรวมฟีดเดอร์ฟันด์ และกองทุนรวมที่เน้นลงทุนแบบมีความเสี่ยงต่างประเทศ มีนโยบายเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน JPMorgan Funds – Asia Growth Fund (กองทุนหลัก) เพียงกองเดียว

กองทุนหลักมีประวัติผลการดำเนินงานโดดเด่น มีธีมและสไตล์การลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตสูง ปัจจุบันจะมุ่งเน้นไปที่บริษัทที่สามารถตอบสนองในธุรกิจสมัยใหม่ และรองรับการเติบโตของจำนวนชนชั้นกลางในเอเชีย ที่มาพร้อมกับการบริโภคที่สูงขึ้น และธุรกิจที่รองรับ Lifestyle สมัยใหม่ที่เกิดขึ้น ทำให้กองทุนเหมาะสมกับผู้ลงทุนที่สามารถลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว และยอมรับความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ได้ ซึ่งนักลงทุนที่สนใจสามารถลงทุนได้ที่ขั้นต่ำ 1,000 บาท