สหรัฐ-ญี่ปุ่นหนุนร่วมมือทหารต้าน'จีน'แผ่อิทธิพลทางทะเล

สหรัฐ-ญี่ปุ่นหนุนร่วมมือทหารต้าน'จีน'แผ่อิทธิพลทางทะเล

สหรัฐ-ญี่ปุ่นหนุนร่วมมือทหารต้าน'จีน'แผ่อิทธิพลทางทะเล พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของข้อบังคับที่5ของสนธิสัญญาความมั่นคงญี่ปุ่น-สหรัฐที่กำหนดให้สหรัฐปกป้องญี่ปุ่นจากการถูกโจมตีด้วยอาวุธ

“โนบุโอะ คิชิ” รัฐมนตรีป้องกันประเทศของญี่ปุ่นและ พล.อ. ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อไม่นานมานี้ เห็นพ้องร่วมกันวานนี้ (24ม.ค.)ที่จะสนับสนุนความเป็นพันธมิตรระหว่างกันในช่วงที่จีนแผ่อิทธิพลทางทะเลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“เราเห็นพ้องร่วมกันที่จะต่อต้านความพยายามแต่เพียงฝ่ายเดียวทุกรูปแบบที่จะเปลี่ยนแปลงสถานภาพในปัจจุบันในทะเลจีนใต้และทะเลจีนตะวันออก ”คิชิ กล่าวหลังเสร็จสิ้นการพูดคุยทางโทรศัพท์กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐ

คิชิ กล่าวด้วยว่า ทั้งเขาและรมว.กลาโหมสหรัฐ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของข้อบังคับที่5ของสนธิสัญญาความมั่นคงญี่ปุ่น-สหรัฐที่กำหนดให้สหรัฐปกป้องญี่ปุ่นจากการถูกโจมตีด้วยอาวุธ โดยเฉพาะบริเวณหมู่เกาะเซนกากุในทะเลตะวันออกที่ทางการจีนอ้างสิทธิเหนือหมู่เกาะนี้เช่นกัน

ที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหมญี่ปุ่น ระบุว่าเรือตรวจการณ์ของญี่ปุ่นพบการเคลื่อนไหวของเรือฟริเกตชั้นเจียงไค 2 ของกองทัพจีน ซึ่งมีระวางขับน้ำประมาณ 4,000 ตัน ล่องเข้ามาในบริเวณหมู่เกาะเซนกากุบ่อยครั้ง ซึ่งสร้างความไม่สบายใจและทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่นพลอยตึงเครียดไปด้วย

คิชิ และออสติน เห็นพ้องร่วมกันในการดำเนินบทบาทสำคัญของการเป็นพันธมิตรทวิภาคีในภูมิภาคและความจำเป็นในการร่วมมือกับประเทศที่เป็นหุ้นส่วนอื่นๆ รวมทั้งประเทศที่อยู่นอกภูมิภาค เพื่อคงความเป็นอิสระและเสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก

ต่อข้อซักถามที่ว่า คิชิ รู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับพล.อ. ออสติน ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเมื่อวันศุกร์(22ม.ค.)ที่ผ่านมา รัฐมนตรีป้องกันประเทศของญี่ปุ่น บอกว่า"ผมรู้สึกประทับใจที่เห็นพล.อ. ออสตินให้ความสนใจประเด็นความมั่นคงในเอเชีย และในมิติด้านความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นนั้น ผมรู้สึกว่าท่านรัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐให้ความสำคัญกับการเป็นพันธมิตรระหว่างสหรัฐและญี่ปุ่นมาก"

พล.อ. ออสติน อดีตนายทหารระดับสูงจากกองทัพบก ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาอย่างท่วมท้นให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ซึ่งหลังจากการลงมติอนุมัติด้วยเสียง 93-2 โดยสมาชิกวุฒิสภา เขาได้เป็นรัฐมนตรีกลาโหมชาวแอฟริกันอเมริกันคนแรกของสหรัฐ

เสียงสนับสนุนการเเต่งตั้งออสตินที่ท่วมท้นในสภาสูงของสหรัฐ แสดงให้เห็นว่านักการเมืองอเมริกันทั้งฝ่ายเดโมเเครตและรีพับลิกันเห็นตรงกันว่าควรเร่งมือแต่งตั้งรัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ หลังจากโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ เริ่มบริหารประเทศอย่างเป็นทางการเมื่อวันพุธ (20ม.ค.)ที่ผ่านมา

ก่อนที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม พล.อ.ออสติน เป็นคณะกรรมการในบอร์ดบริหารของบริษัทเรย์เธียน ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอาวุธรายใหญ่ของสหรัฐ รวมทั้งเป็นกรรมการในบริษัทนูคอร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ และบริษัทเทเน็ต ซึ่งเป็นบริษัทในธุรกิจรักษาสุขภาพสหรัฐ

นอกจากนี้ คิชิ ยังบอกด้วยว่า ในการสนทนาทางโทรศัพท์ร่วมกับรมว.กลาโหมสหรัฐครั้งนี้ ญี่ปุ่นและสหรัฐยังเห็นพ้องที่จะทำงานร่วมกันเพื่อผลักดันไปสู่เป้าหมายของการทำให้เกาหลีเหนือยุติโครงการพัฒนาอาวุธทำลายล้างสูงและพัฒนาขีปนาวุธเพื่อลดภัยคุกคามในคาบสมุทรเกาหลี

เมื่อวันที่ 12ม.ค.ที่ผ่านมา สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า คิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือกล่าวสุนทรพจน์ปิดการประชุมพรรคกรรมกรซึ่งเป็นพรรครัฐบาลเกาหลีเหนือว่า จะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือให้แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งคำประกาศนี้ ทำให้นักวิเคราะห์เชื่อว่าคิมพยายามดึงดูดความสนใจจากรัฐบาลใหม่ของสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีไบเดน หลังจากเกาหลีเหนือตกอยู่ในสภาพถูกโดดเดี่ยวมากกว่าเดิมหลังจากการปิดชายแดนกับประเทศจีนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19

คิมยืนยันในสุนทรพจน์ครั้งนี้ด้วยว่า สหรัฐยังคงเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดของเกาหลีเหนือและเชื่อว่าจะไม่มีการเปลี่ยนนโยบายต่อเกาหลีเหนือไม่ว่าใครจะก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีก็ตาม