หยวนต้าแนะซื้อ’หุ้น’ LH อัพเป้าใหม่ 9.45 บาท

หยวนต้าแนะซื้อ’หุ้น’ LH อัพเป้าใหม่ 9.45 บาท

บล.หยวนต้าแนะซื้อ “หุ้น” LH รับกำไรไตรมาส 4 ทำจุดสูงสุดของปี 63 พร้อมขยับราคาเป้าหมายใหม่ 9.45 บาท

บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า(ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์ หุ้น บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน) หรือ LH โดยคาดกำไรสุทธิ 4Q63 ที่ 2.1 พันลบ (+2.6% QoQ, -49.3% YoY) เติบโตขึ้น QoQ  และเป็นจุดสูงสุดของปีจาก 1) การรับรู้รายได้ของ Backlog กว่า 4.9 พันล้านบาท ในโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียมเสร็จใหม่คือ The Room Phayathai (มูลค่า 3.9 พันล้านบาท มียอดขายแล้ว 42%)  2) ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจร่วมค้าที่คาดปรับตัวขึ้น 29% QoQ เป็น 880 ล้านบาท และ 3) การขายอพาร์ทเม้นท์เพื่อเช่า 1 แห่งใน USA คาดทำกำไรก่อนหักภาษีราว 420 ล้านบาท +/-

ทั้งนี้กำไรที่ลดลง YoY มาจากฐานที่สูงใน 4Q62 ที่มีการขาย Grande Centre Point Sukhumvit 55 ให้กับกองทรัสต์ซึ่งมีกำไรกว่า 2.0 พันล้านบาท

บริษัทรายงาน Presale ปี 2563 ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้น 4.9% YoY แต่ต่ำกว่าเป้าหมายของบริษัทที่ 2.8 หมื่นล้านบาท 5.0% จากการปรับโครงสร้าง Backlog ในช่วง 4Q63 ราว 800 ล้านบาท

สำหรับยอดเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2563 อยู่ที่ 16 โครงการรวมมูลค่า 2.9 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวและ ทาวน์เฮ้าส์ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท และ 3.2 พันล้านบาท ตามลำดับ

ตั้งเป้าการเปิดตัวอย่างอนุรักษ์นิยม... แต่ไม่ใช่อุปสรรคในการเติบโต

ล่าสุดบริษัทประกาศแผนการดำเนินงานปี 2564 โดยตั้งเป้าหมายการเปิดตัวโครงการใหม่รวมทั้งสิ้น12 โครงการรวมมูลค่า 2.1 หมื่นล้านบาท (-27.6% YoY) โดยมีสัดส่วน บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์และคอนโด ที่ 74%, 21% และ 5% ตามลำดับ (โครงการแนวราบอยู่ใน Segment ที่ต่ำลงเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2563 เนื่องจากจะไม่มีการเปิดตัวโครงการ Luxury เช่น ลัดดาวัลย์ และนันทวัน)

อย่างไรก็ดี เรามองว่าเป้าการเปิดตัวโครงการที่อนุรักษ์นิยมไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างรายได้และยอดขายอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากปัจจุบันบริษัทมี Inventory พร้อมขายกว่า 6.2 หมื่นล้านบาท กอปรกับมี Land bank พร้อมเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มเติม (ทั้งแนวราบและแนวสูง) หากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและอัตราดูดซับอุปทานทำได้ดีกว่าคาด ซึ่งจะเป็น Upside ต่อยอด Presale ในปี 2564

สำหรับเป้าหมาย Presale และ ยอดโอนอยู่ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท (+5.3% YoY) และ 3.0 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ หลักๆ เป็นการเน้นระบายสินค้าคงคลัง ขณะที่บริษัทตั้งเป้า Take-up Rate จากโครงการเปิดตัวใหม่ที่ราว 10-15%

Vaccine Rollout และมาตรการกระตุ้นจากรัฐเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามองในปี 2564

บริษัทตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจเช่าและบริการในปี 2564 ที่ 2.8 พันล้านบาท (+16% YoY) ซึ่งเรามองว่ามีความเป็นไปได้สูงที่การเติบโตจะทำได้ตามเป้า โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีการปิดตัวของโรงแรมและห้างสรรพสินค้าเป็นระยะเวลา 1-2 เดือน

ขณะที่การคาดการณ์ Vaccine rollout ของตลาดทึ่จะส่งผลให้เกิด Herd immunity ในตลาดที่พัฒนาแล้วในช่วงต้น 2H64 คาดเป็นปัจจัยหลักที่จะหนุนการฟื้นตัวของรายได้ในธุรกิจโรงแรมและห้างสรรพสินค้าที่มีความสัมพันธ์ต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสูง โดยเฉพาะในกรณีที่รัฐบาลมีมาตรการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการฉีดวัคซีน ซึ่งจะเป็น Upside สำคัญต่อประมาณการปี 2564

นอกจากนี้ อีกประเด็นที่ต้องติดตามคือมาตรการกระตุ้นกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ตลาดมีการคาดการณ์การต่ออายุในการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 2563 รวมถึงการลดภาระให้กับประชาชนในการซื้อที่อยู่อาศัย ในการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ลงมาเหลือ 0.01% สำหรับอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายต่ำกว่า 5.0 ล้านบาท (จากเดิมต่ำกว่า 3 ล้านบาท) หากเกิดขึ้นจริง คาดส่งผลบวกต่อการระบาย Inventory ราคาต่ำ 5.0 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วนราว 20-25% ของยอดขายทั้งหมด

ปรับลดประมาณการปี 2563/64 จากกำไรการขายอสังหาฯ ใน USA ที่ต่ำกว่าคาด

เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2563/64 ลง 15% และ 16% เป็น 6.9 พันล้านบาท และ 7.8 พันล้านบาท ตามลำดับ หลักๆ มาจากกำไรจากการขายอพาร์ทเม้นท์ใน USA ใน 4Q63 ที่คาดทำได้ราว 420+/- (เดิมคาดที่ 1.0 พันล้านบาท) และล่าสุดบริษัทประกาศว่ายังไม่มีแผนที่จะขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าเพิ่มเติมในปี 2564 (จากเดิมคาดอย่างน้อย 1 แห่ง)

 คงคำแนะนำ “ซื้อ” ปรับเพิ่มราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2564 เป็น 9.45 บาท/หุ้น 

เรามีมุมมองบวกต่อการเติบโตของกำไรจากธุรกิจหลักในปี 2564 และปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2564 เป็น 9.45 บาท/หุ้น อิงวิธี SOTP (20% Discount Factor ของมูลค่าของบริษัทร่วม) จาก

1)การปรับลดประมาณการกำไรพิเศษจากการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อ Valuation อย่างมีนัยสำคัญ

2)การปรับราคาเป้าหมายบริษัทร่วมของ Bloomberg Consensus (HMPRO, QH และ LHFG) ส่งผลให้การคาดการณ์ในส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น

3)ปรับเพิ่ม PER สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 6.0x เป็น 7.0x บนสมมติฐานที่บริษัทสามารถใช้ประโยชน์ของ Brand positioning & brand image เพื่อคงส่วนแบ่งการตลาดแนวราบในปี 2564

คงคำแนะนำ “ซื้อ” และคาดบริษัทยังมี Upside risk เพิ่มเติมที่ยังไม่รวมในประมาณการหากรัฐมีมาตรการเปิดประเทศในช่วง 2Q-3Q64 รวมถึงมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อที่จะเป็นผลบวกต่อยอดขาย และรายได้ในปี 2564 นอกจากนี้ LH มีจุดเด่นคือเงินปันผลที่สูง คาดงวด 2H63 และปี 2564 ที่ 0.27 บาท/หุ้น และ 0.40 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend yield ที่สูงถึง 3.3% และ 7.3% ตามลำดับ