"บีโอไอ”อัดฉีดลงทุนปี64 แนวโน้มทะลุ3แสนล้าน

"บีโอไอ”อัดฉีดลงทุนปี64   แนวโน้มทะลุ3แสนล้าน

ปี2564 ที่กำลังจะมาถึงน่าจะขนเอาความหวังที่ว่าสถานการณ์ทั้งการค้าและการลงทุนจะดีขึ้น ซึ่งการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ “บอร์ดบีโอไอ” ก็มีมุมมองต่อการลงทุนปีหน้าไว้ไม่ต่างกันและหวังว่าจะใช้การลงทุนร่วมผลักดันเศรษฐกิจให้ดีขึ้นหลังบอบช้ำจากกา

ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ “บอร์ดบีโอไอ” ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานวานนี้ (21 ธ.ค.) ว่าที่ประชุมฯ เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนหลายด้าน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2564 ที่คาดว่าบรรยากาศการลงทุนจะฟื้นตัวดีขึ้นจากความต้องการลงทุนในประเทศไทยของนักลงทุนต่างชาติที่ยังมีมาก และการผ่อนคลายของสถานการณ์โควิด-19ในปีหน้าที่คาดว่าจะมีการกระจายตัวของวัคซีนมากขึ้นโดยคาดว่าในปีหน้าการขอส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทยจะมากกว่า 3 แสนล้านบาท

“ปีหน้าบรรยากาศการลงทุนจะดีขึ้น ดีมานด์ในไทยยังมี และแม้ในปัจจุบันในหลายอุตสาหกรรมของไทยก็ยังไปได้ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ smart device ที่สนับสนุนการทำงานที่บ้านได้ก็ยังเติบโตได้เป็นอย่างดี”

ทั้งนี้ บอร์ดบีโอไอได้อนุมัติมาตรการกระตุ้นการลงทุนปี 2564 หลายมาตรการ ได้แก่ 1.มาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดใหญ่ที่บีโอไอต้องการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนโดยเร็ว โดยเฉพาะโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศหลังโควิด-19 โดยมาตรการนี้กำหนดให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50 % เป็นระยะเวลา 5 ปี เพิ่มเติมจากเกณฑ์ปกติ โดยต้องมีเงินลงทุนจริงอย่างน้อย 1,000 ล้านบาท ภายใน 12 เดือนหลังออกบัตรส่งเสริม และไม่อนุญาตให้ขยายเวลาในขั้นตอนการตอบรับให้การส่งเสริมและการออกบัตรส่งเสริม ทั้งนี้ผู้ประกอบการสามารถยื่นขอรับการส่งเสริมได้ตั้งแต่วันทำการแรกของปี 2564 ถึงวันทำการสุดท้ายของปี 2564

160855582094

2.มาตรการขยายเวลามาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) จำนวน 10 จังหวัด และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อกระตุ้นการลงทุนในภูมิภาคเพิ่มขึ้นจากเดิมที่จะหมดอายุในปีนี้ โดยผลการส่งเสริมการลงทุนในมาตรการนี้ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2558 ถึงเดือน ก.พ.2563 มีการลงทุนทั้งสิ้น 84 โครงการวงเงินลงทุนรวมประมาณ 1.9 หมื่นล้านบาทโดยพื้นที่ที่มีการลงทุนมากได้แก่ อ.แม่สอด จ.ตาก และเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ที่จ.สงขลา ที่มีการลงทุนมากในกิจการถุงมือยาง รวมทั้งโรงไฟฟ้าในพื้นที่

 โดยรายละเอียดและพื้นที่การอนุมัติส่งเสริมการลงทุน พื้นที่ชายแดน 10 จังหวัดได้แก่ กาญจนบุรี เชียงราย ตราด ตาก นครพนม นราธิวาส มุกดาหาร สงขลา สระแก้ว และหนองคาย โดยมาตรการนี้ ครอบคลุมทุกประเภทกิจการที่เปิดให้การส่งเสริมกว่า 300 กิจการ แต่หากเป็นกิจการที่อยู่ใน 14 กลุ่มกิจการเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรมเกษตร ประมง สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่มและเครื่องหนัง เครื่องเรือน อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องมือแพทย์ พลาสติก กิจการท่องเที่ยว เป็นต้น จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปีและลดหย่อนภาษี 50% อีก 5 ปี

ส่วนพื้นที่ส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ออกไปอีก 2 ปี เช่นเดียวกัน โดยมี 2 มาตรการ คือ มาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล และ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา ได้แก่ อำเภอจะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา และ มาตรการส่งเสริมการลงทุนภายใต้โครงการเมืองต้นแบบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ใน 4 พื้นที่ ได้แก่ อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี อำเภอเบตง จังหวัดยะลา อำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส และอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา โดยมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 500,000 บาท และใช้เครื่องจักรที่มีอยู่เดิมร่วมได้ด้วย นอกจากนี้ หากมีโครงการที่ลงทุนอยู่แล้วเดิม ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งโครงการเดิม และโครงการลงทุนใหม่ นอกจากนี้ ยังมี 5 ประเภทกิจการที่เปิดให้การส่งเสริมการลงทุนในเฉพาะพื้นที่ SEZ และ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น 

3.ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอได้เห็นชอบมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลแก่กิจการที่ดำเนินการอยู่เดิม ไม่ว่าจะเคยได้รับการส่งเสริมหรือไม่ก็ตาม เพื่อ

ส่งเสริมให้เกิดการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการองค์กรและการผลิตหรือการให้บริการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขัน และกระตุ้นให้เกิดความต้องการใช้ในประเทศที่จะนำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลในประเทศไทย

โดยโครงการที่ขอรับการส่งเสริมตามมาตรการนี้ ต้องมีขนาดการลงทุนไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี กำหนดวงเงินลงทุนเพียง 500,000 บาท โดยต้องเสนอแผนลงทุนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ยกระดับกระบวนการทำงาน โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนด้านเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ เช่น การนำซอฟต์แวร์หรือระบบสารสนเทศอื่นๆ เข้ามาบริหารจัดการทรัพยากรของกิจการการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) Machine Learning การนำ Big Data มาใช้ หรือการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) การนำซอฟต์แวร์หรือระบบสารสนเทศมาใช้ในการเข้าสู่ระบบ National E–Payment และระบบอื่นๆ ของหน่วยงานภาครัฐ เป็นต้น โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี ในสัดส่วนร้อยละ 50 ของเงินลงทุน โดยยื่นขอรับการส่งเสริมได้ถึงวันทำการสุดท้ายของปี 2565

และ 4.อนุมัติอนุมัติเปิดเขตส่งเสริมกิจการพิเศษการแพทย์จีโนมิกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา (บางแสน) โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับโครงการที่ตั้งในเมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) และศูนย์การแพทย์ครบวงจรธรรมศาสตร์ (พัทยา) (EECmd) คือ หากเป็นกิจการที่ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตั้งแต่ 5 – 8 ปีขึ้นไป จะได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% เพิ่มเติมอีก 2 ปี แต่หากเป็นกิจการพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมายและกิจการสนับสนุน ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 10 ปีอยู่แล้ว จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มอีก 1 ปี