"เอส โฮเทลฯ" ผุดแบรนด์ใหม่ "เนเบอร์" รุกตลาดกลางรับท่องเที่ยวยุคดิจิทัล

"เอส โฮเทลฯ" ผุดแบรนด์ใหม่ "เนเบอร์"  รุกตลาดกลางรับท่องเที่ยวยุคดิจิทัล

“เอส โฮเทลฯ” คลอดแบรนด์ไลฟ์สไตล์ใหม่ “เนเบอร์” โรงแรมระดับกลางคุณภาพลักชัวรี กางแผนเปิดให้บริการ 6 แห่งในปี 64 ประเดิมที่แรกเกาะสมุย เสริมทัพแบรนด์ “ทราย” หนุนพอร์ตโฟลิโอบริษัทโต 2 เท่า สู่เป้าหมายขยายโรงแรมเพิ่มเป็น 82 แห่งใน 5 ปีข้างหน้า

นายเดิร์ก อังเดร ลีน่า คุยเบอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของสิงห์เอสเตท กล่าวว่า วานนี้ (15 ธ.ค.) SHR ได้เปิดตัวแบรนด์โรงแรมไลฟ์สไตล์ใหม่ “เนเบอร์” (nābor) ซึ่งเป็นแบรนด์โรงแรมระดับกลางที่มีคุณภาพเทียบเท่าระดับลักชัวรี (Luxury Midscale) หลังวางแผนทำแบรนด์นี้มากว่า 18 เดือน มุ่งนำเสนอการพักผ่อนที่มีสไตล์ เข้าถึงง่าย สะดวกสบายตามมาตรฐานสากล เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวยุคใหม่และใช้ชีวิตด้วยดิจิทัล

โดยจะเปิดให้บริการโรงแรมเนเบอร์อย่างน้อย 6 แห่งในประเทศไทยภายในปี 2564 แห่งแรกคือที่บ่อผุด เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เป็นโรงแรมที่ SHR ลงทุนเอง วางกำหนดเปิดให้บริการในเดือน เม.ย.ปีหน้า ส่วนอีก 5 แห่งเป็นการรับบริหาร โลเกชั่นกระจายอยู่ในเมืองท่องเที่ยวหลัก เช่น กรุงเทพฯ หัวหิน เชียงใหม่ และภูเก็ต ทั้งนี้เตรียมขยายโรงแรมสู่ระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกภายใน 3 ปีข้างหน้า

โรงแรมเนเบอร์ถือเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่ 2 ต่อจากแบรนด์ “ทราย” (SAii) ที่ SHR เปิดตัวเมื่อเดือน ก.ย. 2562 พร้อมกับ ทราย ลากูน มัลดีฟส์ รีสอร์ทบนเกาะมัลดีฟส์ที่ตั้งอยู่ภายในโครงการครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ จุดหมายสำหรับการพักผ่อนและไลฟ์สไตล์แห่งแรกของมัลดีฟส์ โดยแบรนด์ทรายเป็นโรงแรมและรีสอร์ทระดับบน (Upper Upscale) วางบุคลิกให้เป็นแบรนด์ที่สนุกสนานและมอบอิสระแก่นักท่องเที่ยวที่แสวงหาประสบการณ์พักผ่อนรูปแบบใหม่ ทั้งนี้ SHR มีแผนที่จะเปิดตัวรีสอร์ทอีก 2 แห่งในประเทศไทยในไตรมาส 1 ของปี 2564 ได้แก่ ทราย ลากูน่า ภูเก็ต และทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ

“แบรนด์โรงแรมไลฟ์สไตล์ของ SHR ทั้งแบรนด์ทรายและเนเบอร์จะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโรงแรมและรีสอร์ทของ SHR ที่ตั้งเป้าขยายพอร์ตโฟลิโอเติบโตเป็น 2 เท่า จากปัจจุบันมีโรงแรม 39 แห่ง คิดเป็น 4,647 ห้องใน 5 ประเทศ เพิ่มเป็น 82 แห่ง คิดเป็น 9,000 ห้อง ภายในอีก 5 ปีข้างหน้าหรือปี 2568 ซึ่งเฉลี่ยแต่ละปีจะใช้งบลงทุนราว 1-2 พันล้านบาท”

นายเดิร์ก กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านภาพรวมธุรกิจโรงแรมของ SHR ใน 5 ประเทศหลังเจอวิกฤติโควิด เมื่อเจาะเป็นรายประเทศ ที่มัลดีฟส์ 3 แห่งหลังจากรัฐบาลมัลดีฟส์เปิดประเทศเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา พบว่าอัตราเข้าพักฟื้นตัวดี เดือน ธ.ค.นี้อยู่ที่ 70-75% และมียอดจองล่วงหน้าช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่เต็มแล้ว ส่วนที่สหราชอาณาจักรมี 29 แห่ง สถานการณ์ยังขึ้นๆ ลงๆ นักท่องเที่ยวนิยมเข้าพักเพื่อพักผ่อนแบบ Staycation โดยบางโลเกชั่นมีอัตราเข้าพักสูง 80%

ด้านฟิจิ 2 แห่ง หากมีการเปิดให้เดินทางข้ามแดน คาดมีดีมานด์สูงจากนักท่องเที่ยวออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ขณะที่เมอริเชียส 1 แห่ง เพิ่งกลับมาเปิดให้บริการเมื่อ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา อัตราเข้าพักอยู่ที่ 35% ส่วนประเทศไทย 4 แห่ง ยังคงมีความท้าทาย เนื่องจากโรงแรมตั้งอยู่ในเกาะสมุยและภูเก็ตซึ่งฟื้นตัวช้า ส่วนอีกแห่งที่เกาะพีพี ช่วงหยุดยาวที่ผ่านมามีอัตราเข้าพักค่อนข้างดีที่ 50-60%