PRINC สยายปีกซื้อBH ทุ่ม1.8หมื่นล้าน ฮุบหุ้น22%

PRINC สยายปีกซื้อBH   ทุ่ม1.8หมื่นล้าน ฮุบหุ้น22%

BDMSถอยขายหุ้น BH เกลี้ยงพอร์ต 22.97% รับเงินกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท หลังพยายามเทคโอเวอร์แต่ไม่สำเร็จ วงการเผย PRINC เข้าซื้อทั้งจำนวน นำร่องล็อตแรกกว่า 9 พันล้านบาท วันที่ 26 พ.ย.นี้ สานแผนขยายโรงพยาบาลให้ครบ 20 แห่งภายแห่งภายใน 2 ปี

นางนฤมล น้อยอ่ำ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯวานนี้ (24 พ.ย.) ว่า บริษัททำสัญญาซื้อขายหุ้น โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH ที่บริษัทถืออยู่ 180,715,806 หุ้น หรือ 22.71% ให้กับผู้ซื้อในราคาหุ้นละ 103 บาท คิดเป็นมูลค่า 18,613.7 ล้านบาท เมื่อวันที่ 19 พ.ย.2563 โดยผู้ซื้อไม่ได้เป็นผู้เกี่ยวข้องกับบริษัทฯ

ต่อมาวันที่ 24 พ.ย.2563 BDMS ได้รับการยืนยันจากผู้ซื้อ เกี่ยวกับความแน่นอนของแหล่งเงินทุน โดยบริษัทจะขายเงินลงทุน BH บางส่วนผ่านกระดานซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่ (Big Lot) ในตลาดหลักทรัพย์ในเบื้องต้นจำนวน 90.50 ล้านหุ้น ที่ราคา 103 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น 9,321.5 ล้านบาท ในวันที่ 26 พ.ย.2563 ส่วนที่เหลืออีก 90,215,806 หุ้น หรือ 11.34% คาดว่าจะซื้อขายแล้วเสร็จในเดือน ธ.ค.2563 

นางนฤมล กล่าวว่า ในการทำรายการดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอนในการจัดหาแหล่งเงินทุนของผู้ซื้อ

ปัจจุบัน นายปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ เป็นผู้ถือห้นใหญ่ BDMS

ขณะที่ ผลจากการทำสัญญาซื้อขายดังกล่าว ทำให้ราคาหุ้น BH ปรับตัวลดลงทันทีที่เปิดตลาด โดยลงไปต่ำสุดที่ 113.50 บาท และปิดตลาดที่ 115 บาท ลดลงจากวันก่อนหน้า 8.50 บาท หรือ 6.88% มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นกว่า 1,149 ล้านบาท เนื่องจากราคาตามสัญญาต่ำกว่าราคาในกระดาน ส่วนหุ้น BDMS ปิดตลาดที่ 22.50 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ 2.17% มูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 1,591 ล้านบาท

เผยเหตุขายหลังเทคฯล่ม

นักวิเคราะห์จากบล.หยวนต้า(ประเทศไทย) กล่าวว่า การที่ BDMS ขายหุ้น BH ออกมานั้น เป็นเพราะก่อนหน้านี้ BDMS มีแผนที่จะซื้อหุ้นเพิ่ม BH โดยการทำคำเสนอซื้อทั้งจำนวนในราคาหุ้นละ 125 บาท แต่กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของ BH ไม่ยอมขายหุ้นออกมาทำให้ต้องยกเลิกการทำคำเสนอซื้อออกไป

หลังจากนั้น BDMS ก็หาจังหวะในการขายหุ้นออกมา แต่ยังไม่สามารถขายหุ้นออกมาได้ เพราะราคาหุ้นปรับตัวลดลง แต่หลังจากที่มีความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทำให้ราคาหุ้น BH ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเกินราคาเหมาะสมที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ จึงถือเป็นจังหวะดีในการขายหุ้นออก

คาดกำไร 1.1 พันล้าน

สำหรับการขายหุ้น BH ออกมานั้นจะเป็นผลบวกระยะสั้น ต่อ BDMS เนื่องจากจะบันทึกกำไรพิเศษจากการขายหุ้นครั้งนี้ประมาณ 1.1 พันล้านบาท ในไตรมาส 4 ปีนี้ เพราะ ราคาขายที่ 103 บาทต่อหุ้น แม้จะต่ำกว่าราคาในกระดาน แต่ยังสูงกว่าต้นทุนทางบัญชีเฉลี่ยที่ BDMS ถืออยู่ที่ 89.3 บาทต่อหุ้น ซึ่งถือเป็นจังหวะดีในการนำเงินไปขยายธุรกิจในเครือที่อาจให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีกว่าในระยะยาว เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่จะกระทบต่อลูกค้าต่างชาติที่ไม่สามารถเดินทางเข้ามารักษาได้ อาจทำให้ผลตอบแทนเงินลงทุนที่ได้ อาจจะน้อยลง เพราะกว่าสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปี

คาดกำไร 1.1 พันล้าน

สำหรับการขายหุ้น BH ออกมานั้นจะเป็นผลบวกระยะสั้น ต่อ BDMS เนื่องจากจะบันทึกกำไรพิเศษจากการขายหุ้นครั้งนี้ประมาณ 1.1 พันล้านบาท ในไตรมาส 4 ปีนี้ เพราะ ราคาขายที่ 103 บาทต่อหุ้น แม้จะต่ำกว่าราคาในกระดาน แต่ยังสูงกว่าต้นทุนทางบัญชีเฉลี่ยที่ BDMS ถืออยู่ที่ 89.3 บาทต่อหุ้น ซึ่งถือเป็นจังหวะดีในการนำเงินไปขยายธุรกิจในเครือที่อาจให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีกว่าในระยะยาว เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่จะกระทบต่อลูกค้าต่างชาติที่ไม่สามารถเดินทางเข้ามารักษาได้ อาจทำให้ผลตอบแทนเงินลงทุนที่ได้ อาจจะน้อยลง เพราะกว่าสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปี

เผย“พริ้นซ์”ซื้อทั้งจำนวน

แหล่งข่าวจากวงการธุรกิจการแพทย์ ยืนยันกับ “กรุงเทพธุรกิจ”ว่า บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด(มหาชน) หรือ PRINC ได้เข้าทำสัญญาซื้อหุ้น BH จำนวน 180,715,806 หุ้น หรือ 22.71% จาก BDMS โดยได้เสนอซื้อหุ้นทั้งจำนวน โดยขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

ขณะที่ PRINC แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่าตามที่มีข่าวลือเรื่องบริษัทจะเข้าซื้อหุ้น BH จาก BDMS จำนวน 180,175,806 หุ้น คิดเป็น 22.71% ของทุนฯนั้น บริษัทไม่ได้มีการพิจารณาเรื่องการเข้าซื้อหุ้นของ BH จาก BDMS ตามข่าวแต่อย่างใด มีเพียงความร่วมมือระหว่างบริษัท กับ BH ในการขยายธุรกิจด้านการแพทย์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทร่วมกันตามแผนธุรกิจปกติเท่านั้น

นอกจากนี้บริษัทไม่ได้มีพัฒนาการใดๆ ที่ยังไม่ได้เปิดเผย หรือสารสนเทศที่มีนัยสำคัญที่บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาและอาจเปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ในระยะเวลาอันใกล้ เช่น การเพิ่มทุน การร่วมทุน การได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สิน หรือข้อพิพาทที่สำคัญ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสภาพการซื้อขายที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงไม่ทราบถึงสาเหตุอื่นใดที่อาจส่งผลกระทบต่อการซื้อขายด้วย

โดยวานนี้หุ้น PRINC มีราคาซื้อขายคึกคัก โดยปิดตลาดที่ 3.32 บาท เพิ่มขึ้น 0.46 บาท หรือ 16.08% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 198.8 ล้านบาท จนเป็นเหตุให้เข้าเกณฑ์ตลาดหลักทรัพย์ให้ซื้อขายในบัญชีแคชบาลานซ์ จนถึงวันที่ 23 ธ.ค.2563 

เส้นทาง“พริ้นซ์”นักซื้อกิจการ

จุดเริ่มต้นของ PRINC มาจาการเข้าซื้อกิจการบริษัท เมโทรสตาร์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยเมื่อปี 2556 จากนั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นและเปลี่ยนชื่อมาเป็นบริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ PRINC แต่ด้วยข้อจำกัดในการหาทำเลที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทำให้บริษัทตัดสินใจเบนเข็มมาสู่ธุรกิจเฮลธ์แคร์อย่างเต็มตัวตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2560 และย้ายหมวดการซื้อขายหุ้น PRINC จากกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ไปยังกลุ่มการแพทย์

หลังจากนั้นเดินหน้าเข้าซื้อกิจการโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง เช่น การทุ่มเงินลงทุน 2 พันล้านบาท ซื้อกิจการบริษัท อลิอันซ์ เมดิคอล เอเชีย จำกัด เพื่อใช้เป็นฐานในการรุกธุรกิจเฮลธ์แคร์ เนื่องจากมีโรงพยาบาลในมือ 4 โรง จำนวน 600 เตียง

โดยปัจจุบันกลุ่ม PRINC ยังดำเนินธุรกิจหลัก 2 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนและการบริหารจัดการโรงพยาบาลเอกชน และธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยเพื่อเช่าและการบริหารอาคารสำนักงานแบบครบวงจร

โรงพยาบาลในเครือ 11 แห่ง

สำหรับธุรกิจโรงพยาบาลดำเนินงานภายใต้บริษัท พริ้นซิเพิล เฮลธ์แคร์ จำกัด ปัจจุบันมีโรงพยาบาลในเครือทั้งหมด 11 แห่ง มีแพทย์กว่า 200 คน และพนักงานรวมกว่า 2,000 คน

กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของ PRINC คือตระกูล “วิทยากร” ซึ่งเดิมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ BDMS ก่อนที่จะขายหุ้นออกไปและมาลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดย มี “สาธิต วิทยากร” ในฐานะทายาทคนเดียวของ น.พ.พงษศักดิ์ วิทยากร ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นหัวเรือใหญ่ในการบริหารงานในตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ

ผู้ถือหุ้นใหญ่ 5 อันดับแรกประกอบด้วย 1.UBS AG HONG KONG BRANCH ถือหุ้น 36.45% 2.นาย สาธิต วิทยากร ถือหุ้น 23.73% 3. นางสาวสาธิตา วิทยากร ถือหุ้น 14.38% 4. INTERNATIONAL FINANCE CORPORATION ถือหุ้น 6.42% และ 5. Peak Development Holdings Ltd. ถือหุ้น 4.56%

สำหรับผลการดำเนินงานล่าสุดงวด 9 เดือน ปี 2563 ยังคงขาดทุนสุทธิ 423.95 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 10.22 ล้านบาท โดยมีรายได้จากกิจการโรงพยาบาล 1,600.30 ล้านบาท และรายได้จากการขายและให้บริการ 282.60 ล้านบาท ลดลง 7.9% และ ลดลง 36.20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ จากผลกระทบของการระบาดของโรคโควิด-19

ขณะที่ต้นทุนจากธุรกิจโรงพยาบาลสูงขึ้น 62 ล้านบาท ทั้งจากโรงพยาบาลเดิมและโรงพยาบาลที่เปิดใหม่ ส่วนต้นทุนธุรกิจพัฒนาและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ลดลง 41.70 ล้านบาท โดยมีสินทรัพย์รวม 15,083 ล้านบาท หนี้สินรวม 5,734.90 ล้านบาท อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้น 0.68 เท่า

ด้านแผนการดำเนินธุรกิจบริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการขยายโรงพยาบาลไปยังเมืองรอง เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ต่างจังหวัดสามารถเข้าถึงการบริการสาธารณสุข สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนและประเทศ ภายใต้เป้าหมายเพิ่มโรงพยาบาลให้ครบ 20 แห่ง ในช่วง 2 ปีข้างหน้า

 เอเชียพลัสชี้ส่งผลลบ BH

ด้านบล.เอเซีย พลัส ระบุว่าการทำรายการขายหุ้นดังกล่าวเป็นผลลบต่อราคาหุ้น BH เพราะเป็นการขายหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด และการหยุดลงทุนใน BH อาจส่งสัญญาณลบต่อแนวโน้มธุรกิจระยะถัดไป โดยเฉพาะคู่แข่งใหม่ คือ โรงพยาบาล Medpark ที่ฝ่ายวิจัยกังวล จึงยังคงแนะนำ Switch BH

แต่อีกด้านถือเป็นบวกต่อ BDMS จากคาดบันทึกกำไรพิเศษจากการขาย 1.1 พันล้านบาท ได้สภาพคล่องเข้ามายังบริษัท โดยแผนการนำเงินไปใช้ หลักๆคืนหนี้ที่มี ที่คาดว่าจะช่วยประหยัดดอกเบี้ยใกล้เคียงกับส่วนแบ่งกำไร BH ที่ลดลง และอาจช่วยต่อยอด หากนำเงินบางส่วนไปลงทุน ในส่วนของ BDMS ฝ่ายวิจัยจึงยังคงคำแนะนำ ซื้อ โดยอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการ