เขย่าพอร์ตลงทุนทั่วโลก   รับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

 เขย่าพอร์ตลงทุนทั่วโลก    รับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

อีเวนต์ใหญ่ทางการเมืองระดับโลก การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ คนที่ 46 ซึ่งจะเกินขึ้นวันนี้ (3 พ.ย.) และจะรู้ผลตามเวลาไทยในเช้าวัน 4 พ.ย. จะส่งผลทั้งทางเศรฐกิจและการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก เนื่องจากนโยบายการหาเสียงของทั้งสองฝ่ายแตกต่างการสุดขั้ว

ผู้สมัครจากพรรคเดโมแคต ‘โจ ไบเดน’ ใช้คำว่า ‘Rebuild America’ พุ่งเป้าไปที่ประเทศสหรัฐเป็นหลัก ซึ่งชูจุดขายอยู่ที่เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับประชาชนอเมริกัน ทั้งการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง จากเดิม 7.25 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง สนับสนุนระบบประกันสุขภาพของรัฐ

ขณะที่ในในทางกลับกันนโยบายที่ใช้กับบริษัทที่อยู่ในอเมริกา กลับมีการใช้การเพิ่มภาษีนิติบุคคลจาก 21 % เป็น 28 % และยังปรับขึ้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราสูงสุดที่ 39.6 % จากเดิม 37 % หรือการให้สิทธิเรียนและทำงานในสหรัฐแก่ผู้อพยพที่เป็นเยาวชน

ตรงกันข้ามกับผู้สมัครพรรครีพับรีกัน ‘ โดนัลล์ ทรัมป์ ‘ ใช้คำว่า ‘Keep America Great ‘ ที่เดินหน้านโยบายให้อเมริกันได้ประโยชน์สูงสุด ด้วยการหักล้างนโยบายของอีกฝ่าย ด้วยการไม่เห็นด้วยปรับเพิ่มภาษีแต่ควรลดภาษีนิติบุคคลให้ต่ำกว่าปัจจุบันที่ 21 % ลดภาษีชั้นชนกลางจาก 22 % เป็น 15 %

นอกจากนี้ยังไม่สนับสนุนประกันสุขภาพของรัฐ และไม่เห็นด้วยกับการให้สิทธิเรียนและทำงานในสหรัฐแค่ผู้อพยพที่เป็นเยาวชน ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเพราะมองว่าจะเป็นต้นทุนให้ดับธุรกิจเอสเอ็มอี

อย่างไรก็ตามทั้งสองพรรคยังเห็นพ้องต้องกันว่านโยบายกีดกันทางการค้าที่โดยเฉพาะกับจีนยังต้องดำเนินการต่อ ส่วนนโยบายที่แตกต่างกลับมีผลต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงของสหรัฐไปด้วย และจากผลการดีเบตว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา ‘โจ ไบเดน’ มีคะแนนนำอย่างเห็นได้ชัดเจน

ซีเอ็นเอ็น โพล มีผลสำรวจหลังวันที่ 29 ก.ย. มีคะแนนนำอยู่ที่ 57 % ส่วน ‘ โดนัลล์ ทรัมป์’ อยู่ที่ 41 % และครั้งที่ 2 หลังการดีเบตวันที่ 15 ต.ค. มีคะแนนนำอยู่ที่ 53 % และอีกฝ่ายอยู่ที่ 39 % ผลคะแนนที่ออกมา บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ เป็นไปตามที่โพลหลายสำนักบ่งชี้ล่าสุด ที่ ผู้ชิงตำแหน่งจากพรรคเดโมแครต ชนะพร้อมกับเสียงข้างมากของเดโมแครตทั้งในสภาสูงและสภาล่าง)

ส่งผลให้เกิด Blue wave มากที่สุดทำให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (EM) ปรับตัวรีบาวด์ได้ดีกว่าทางฝั่งของตลาดหุ้นสหรัฐ จากเม็ดเงิน Fund flow ส่วนหนึ่งที่ไหลออกมาจากความกังวลการขึ้นภาษีในสหรัฐเป็นสำคัญ

ภาพการลงทุนจากช่วงเดือนต.ค. ที่ผ่านมา ตามข้อมูลบล. เอเชีย พลัส ระบุถึงเม็ดเงินลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกนั้นตลาดหุ้นในสหรัฐปรับลดลง 0.3 % ตลาดหุ้นยุโรปลดลง 1.4 % สวนทางกับตลาดหุ้นเอเชียที่ปรับตัวบวกโดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ ฟิลิปฟินส์บวกถึง 10.7 % อินโดนีเซีย 5.6 % เวียดนาม 5.0 % ส่วนไทย ติดลบมากสุด 2.3 %

กรณี Blue wave นี้ จะทำให้การผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจการคลังขนานใหญ่ของสหรัฐ มีโอกาสเกิดขึ้นได้สูง ซึ่งจะทำให้สหรัฐต้องออกพันธบัตรเพื่อกู้เงินในระดับสูงด้วยเช่นกัน ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร ( Bond Yield) มีโอกาสปรับตัวขึ้น และทำให้ Bond yield ของหลายประเทศอื่นรวมถึงไทยปรับตัวขึ้นตาม

หากมองภาพการลงทุนแล้วจะมีผลต่อการลงทุนในสินทรัพย์หรือหุ้นที่เคยเป็นทางเลือกในช่วงดอกเบี้ยต่ำ เช่น พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ REIT กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค กลุ่มที่อยู่อาศัย และกลุ่มสื่อสาร เป็นต้น

ด้วยเรื่องการเมืองความแน่นอนคือความไม่แน่นอนแม้ว่าคะแนนเสียงของ ‘โจ ไบเบน ‘จะนำ แต่ในรัฐสมรภูมิ (Swing States) 6 รัฐเกิดการพลิกโพล   รวมทั้งคะแนนจากรัฐคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ที่เคยทำให้ ‘โดนันล์ ทรัมป์ ‘ชนะ ‘ฮิลารี คลินตัน ‘ การเลือกตั้งมาแล้วในปี 2559 เม็ดเงินลงทุนย่อมต้องไหลกลับไปที่ตลาดสหรัฐด้วยเช่นกัน