เอสซีจี รายได้ไตรมาส 3 ลดลง 9%

เอสซีจี รายได้ไตรมาส 3 ลดลง 9%

เอสซีจี เผย รายได้ไตรมาส 3/63 ลด 9% จากปีก่อน แต่กำไรเพิ่มต่อเนื่อง ช่วง 9 เดือน ทำได้ 2.6 หมื่นล้านบาท โต 5% จากธุรกิจซีเมนต์และแพคเกจจิ้ง ยันข้อพิพาทบริษัทร่วมทุนในเมียนมาหยุดผลิต จะดูแลต่อเนื่องไม่ให้เกิดผลกระทบขาดแคลนปูนซีเมนต์

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ เอสซีจี เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 บริษัททำรายได้จากการขายอยู่ที่ 100,938 ล้านบาทลดลง 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ขณะที่กำไรสำหรับงวดอยู่ที่9,741 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน จากผลการดำเนินงานของธุรกิจเคมิคอลส์ที่ดีขึ้น ตามความต้องการสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในประเทศจีนและภูมิภาคเอเชีย และธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่ดีขึ้น 

สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 63 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 302,689 ล้านบาท ลดลง 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ที่ผันผวนตามราคาน้ำมันที่ลดลงส่งผลให้ราคาวัตถุดิบลดลง ขณะที่กำไรช่วง 9 เดือนอยู่ที่ 26,096 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง โดยมีกำไรสำหรับงวด 6,616 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่องและต้นทุนพลังงานที่ลดลง  

ส่วนธุรกิจแพคเกจจิ้ง ที่สามารถทำรายได้จากการขาย 69,190 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของความต้องการใช้สินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน และการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะจากการซื้อกิจการกระดาษบรรจุภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซีย และบรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์ในประเทศไทย โดยมีกำไรสำหรับงวด 4,971 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 

"เอสซีจียังมีการเตรียมพร้อมอยู่เสมอ เพื่อหาโอกาสทางธุรกิจ รอการฟื้นตัวของตลาด เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว โดยแผนการลงทุนนั้นมีการทบทวนอยู่ตลอดเวลา โดยต้องประเมินจากหลายมิติ แต่ยอมรับว่าประเทศไทยมีการจัดการกับสถานการณ์โควิดได้ดี แม้จะเป็นผลกระทบที่แรงมากในประเทศไทย แต่หลาย ๆ ประเทศก็มีผลกระทบคล้าย ๆ กัน ซึ่งการทำหน้าที่ของภาคเอกชนคือการทำธุรกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ โดยต้องหาโอกาสที่จะทำให้สามารถฟื้นตัวได้ และต้องติดตามสถานการณ์โควิดอย่างต่อเนื่อง เพราะหลายประเทศในโลกเริ่มเจอกับการแพร่ระบาดรอบที่ 2 ที่รุนแรงกว่ารอบแรกแล้ว"นายรุ่งโรจน์ กล่าว

นายรุ่งโรจน์ กล่าวถึงการแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า Mawlamyine Cement Limited (MCL) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนในประเทศเมียนมาระหว่างบริษัท เอสซีจี ซิเมนต์ จำกัด (SCG Cement) และ Pacific Link Cement Industry Ltd. (PLCI) ซึ่งเป็นบริษัทเมียนมา ได้หยุดการผลิตเป็นการชั่วคราวตั้งแต่กลางเดือน ต.ค.63 เนื่องจากไม่มีหินปูน ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตปูนซีเมนต์ สาเหตุจากข้อพิพาทระหว่าง SCG Cement ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ MCL และ PLCI ทำให้ MCL ไม่สามารถเข้าพื้นที่เหมืองหินปูนได้

ทั้งนี้ หลังจากการเจรจากับ PLCI ไม่ประสบความสำเร็จในช่วงที่ผ่านมา SCG Cement ได้ยื่นคำร้องเพื่อดำเนินการระงับข้อพิพาทด้วยกระบวนการอนุญาโตตุลาการตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญาร่วมทุน และ MCL ได้รับทราบว่า PLCI ได้ดำเนินกระบวนการทางกฎหมายกับ MCL ต่อศาลประเทศเมียนมาในเวลาต่อมา โดยบริษัทยืนยันว่ายังคงดูแลและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้แทนจำหน่ายและลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบจากการขาดแคลนปูนซีเมนต์ที่เกิดจากการหยุดผลิตเป็นการชั่วคราว