ภาคส่วนไหนของ 'การท่องเที่ยว' จะฟื้นตัวก่อน หลังโควิด-19

ภาคส่วนไหนของ 'การท่องเที่ยว' จะฟื้นตัวก่อน หลังโควิด-19

ปฏิเสธไม่ได้ว่า "ภาคการท่องเที่ยว" เป็นหนึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 อย่างมาก ซึ่งขณะนี้สถานการณ์เริ่มมีท่าทีดีขึ้น ประกอบกับมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศต่อเนื่อง แล้วภาคส่วนไหนบ้างที่เริ่มมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นบ้าง?

ท่านผู้อ่านลองเดาดูสิคะว่า หลังโควิด-19 ภาคส่วน (Segment) ใดของการท่องเที่ยวที่จะฟื้นตัวก่อน โดยทั่วไปเราก็มักจะคิดว่าการเดินทางเพื่อทำมาหากินเพื่อปากท้องเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้น ภาคส่วนการเดินทางเพื่อการทำธุรกิจน่าจะฟื้นตัวก่อน แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น

การศึกษาของสถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ สนับสนุนโดย สกสว. พบว่าทศวรรษที่ 2540 หลังวิกฤติเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวเพื่อธุรกิจลดลงเร็วกว่าการท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนและยังฟื้นตัวทีหลัง ดูจากโรงแรมที่อัตราการเข้าพักในวันหยุดดีกว่าในวันธรรมดา (Skift Research, 2020)

สาเหตุที่การเดินทางเพื่อธุรกิจนั้นมีการฟื้นตัวช้าก็เพราะธุรกิจสามารถใช้เครื่องมือสื่อสารทางไกลในการเจรจาและประชุมได้ นอกจากนั้นธุรกิจขนาดใหญ่ก็ยังให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสุขภาพของบุคลากรและกฎระเบียบของรัฐ จึงทำให้การฟื้นตัวของธุรกิจค่อนข้างช้า ภาคส่วนที่จะขยายตัวก่อนน่าจะเป็นการเจรจาธุรกิจที่จำเป็นต้องพบปะกันต่อหน้า ส่วนภาคธุรกิจท่องเที่ยวที่จะเติบโตท้ายสุดคือ ธุรกิจที่ว่าด้วยอีเวนท์และการประชุมระหว่างประเทศขนาดใหญ่

สำหรับประเภทของอุตสาหกรรมที่จะฟื้นตัวพร้อมที่จะเดินทางทางธุรกิจก่อนคือ อุตสาหกรรมทางการแพทย์ อุตสาหกรรมการผลิต และการขนส่ง ต่อมาจะเป็นอุตสาหกรรมในภาคส่วนที่เกี่ยวกับการเงิน อสังหาริมทรัพย์ พลังงานและอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ส่วนอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการศึกษา การให้บริการทางวิชาชีพ จะสามารถใช้เทคโนโลยีสื่อสารทางไกลมาทดแทนความจำเป็นที่จะต้องเดินทางได้

การเดินทางเพื่อธุรกิจนั้น ปกติมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 15-20 ของการเดินทางทั้งหมดหากนับจากจำนวนผู้เดินทาง แต่หากนับจากรายได้แล้วการเดินทางเพื่อธุรกิจนั้นมีความสำคัญมาก และสามารถสร้างกำไรให้กับสายการบินและโรงแรมได้มากกว่าการเดินทางเพื่อการพักผ่อน

สำหรับสายการบินแล้ว ถึงแม้ว่าการเดินทางของนักธุรกิจจะเป็นสัดส่วนน้อยคือประมาณร้อยละ 10 ของผู้โดยสารแต่ก็มีส่วนแบ่งในกำไรถึงร้อยละ 55-75 หากมาดูกันที่การใช้จ่ายเพื่อการเดินทางเพื่อธุรกิจแล้วผู้เชี่ยวชาญ และ IATA มีการคาดการณ์ว่าภายในสิ้นปี 2563 นี้อย่างดีที่สุดการเดินทางเพื่อธุรกิจจะฟื้นตัวไม่เกินร้อยละ 25

และภายในสิ้นปีหน้า (2564) การฟื้นตัวก็น่าจะประมาณร้อยละ 50 เพราะเมื่อเทียบกับก่อนโควิด-19 ผู้บริหารของเอเจนซี่ท่องเที่ยวขนาดใหญ่มีความเห็นว่าหากโควิด-19 ไม่ยืดเยื้อไปเป็น 4-5 ปีแล้วล่ะก็การเดินทางเพื่อธุรกิจน่าจะกลับมาเหมือนเดิมภายใน 2 ปี

ปัจจุบันแนวโน้มที่เริ่มเห็นก็คือนักท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนมีความพร้อมที่จะเดินทางมากกว่านักธุรกิจ การติดตามการเดินทางของสหรัฐโดย Skift Research พบว่าในเดือน ก.ย.2563 การเดินทางเพื่อการพักผ่อนยังมีสัดส่วนถึงร้อยละ 82 ในสหรัฐและที่เหลือเป็นการเดินทางเพื่อธุรกิจ ในประเทศจีนการสำรวจของ McKinsey พบว่ากว่าร้อยละ 70 ของผู้ตอบแบบสำรวจเซนติเมนต์ (Sentiment Survey) ในเดือนเดียวกันระบุว่าพร้อมจะเดินทางภายในสิ้นปี 2563

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้การเดินทางเพื่อการพักผ่อนนั้นฟื้นก่อนการเดินทางเพื่อธุรกิจ ในยุโรป สหรัฐ เกิดจากการที่ผู้คนหนีศูนย์กลางแห่งโรคระบาดไปอยู่ชนบท การสำรวจของ McKinsey พบว่าใน 5 ประเทศอันได้แก่ ออสเตรเลีย แคนาดา ฮ่องกง สหราชอาณาจักร และสหรัฐ การเดินทางเพื่อเยี่ยมเพื่อนและญาติจะเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญที่สุดสำหรับการเดินทางเพื่อการพักผ่อน

ในปลายปี 2563 นี้ Skift Research คาดการณ์ว่าการเดินทางเพื่อการพักผ่อนจะกลับมาเหมือนเดิมก่อนการเดินทางเพื่อธุรกิจก็จริง แต่การเดินทางเพื่อพักผ่อนนี้จะมีกลุ่มเล็กลง เป็นการเดินทางที่ไม่ใช้มัคคุเทศก์ และเป็นการเดินทางที่เข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติและฟื้นฟูสุขภาพและการออกกำลังกายและสนใจกิจกรรมที่สมาชิกในครอบครัวสามารถมีส่วนร่วมได้ ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศคาดว่าแนวโน้มนี้จะยังคงอยู่หลังจากที่โควิด-19 มลายหายไปแล้ว

สิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองไทยก็ดูจะมีแนวโน้มคล้ายคลึงกัน เมื่อรัฐบาลเปิดการท่องเที่ยวหลังล็อกดาวน์ รีสอร์ทใน จ.เชียงใหม่ ขายห้องได้ดีกว่าโรงแรมในเมือง และธุรกิจในเมืองในวันธรรมดานั้นยังหงอยเหงาอยู่มาก อย่างไรก็ดี แนวโน้มที่พบในประเทศไทยก็คือคนไทยจะเที่ยวระยะสั้นมากกว่าที่จะใช้การเดินทางโดยเครื่องบิน ทำให้จังหวัดใกล้ๆ กรุงเทพที่สามารถเดินทางได้โดยรถยนต์ส่วนตัวมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้นกว่าจังหวัดที่ต้องเดินทางไกล

อีกข้อค้นพบที่น่าสนใจของสถาบันวิจัยต่างประเทศ ก็คือในช่วงเวลาของโควิด-19 นั้นราคาไม่ได้เป็นปัจจัยที่สำคัญ ปัจจัยที่สำคัญมากกว่าเป็นเรื่องความปลอดภัย ความใกล้ไกลของแหล่งท่องเที่ยวจากถิ่นที่อยู่อาศัยและความหนาแน่นของจุดหมายปลายทาง นโยบายใหม่ เช่น Working from home จะนำไปสู่ Working from anywhere และโควิด-19 ทำให้เส้นแบ่งระหว่างการเดินทางเพื่อธุรกิจและการเดินทางเพื่อพักผ่อนนั้นชัดเจนน้อยลง

ในประเทศที่เข้าถึงกันได้ง่ายโดยการเดินทางด้วยรถยนต์ ปรากฏว่าบุ๊คกิ้งการเดินทางโดยการเดินทางทางอากาศนั้นลดลงอย่างมาก เช่นในประชาคมยุโรป ส่วนการเดินทางระหว่างประเทศนั้น McKinsey (2020) คาดการณ์ว่าการเดินทางระหว่างประเทศจะเริ่มต้นระหว่างประเทศที่อยู่ใกล้กันมากกว่าการเดินทางระยะไกล

ในประเทศจีนซึ่งประชาชนมีความรู้สึกว่าสถานการณ์ปลอดภัยแล้ว การเดินทางก็ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางในประเทศและแม้แต่ผู้เกษียณอายุก็ยังต้องการการเดินทางท่องเที่ยว

ณ ปัจจุบันนี้รายงานของ Skift คาดคะเนว่าเศรษฐกิจท่องเที่ยวโลกวัดจากรายรับรวมทั้งโลกจะกลับมาดีเหมือนกับปี 2562 นั้นจะไม่เกิดขึ้นก่อนปี 2566 แต่ไม่น่าจะเกินปี 2567 จีนจะฟื้นตัวเร็วกว่าทั้งโลก 1 ปี และเศรษฐกิจท่องเที่ยวจีนจะฟื้นฟูเช่นเดิมในช่วง 2565-2566 แต่จะเดินทางได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาลจีน ซึ่งขณะนี้เน้นให้คนจีนท่องเที่ยวในประเทศ ญี่ปุ่นจะได้รายรับถึงระดับปี 2562 ภายในปี 2567-2568 สาธารณรัฐเยอรมนีก็ฟื้นตัวภายใน 2565-2566 และสหรัฐช้าที่สุดคือระหว่างปี 2567-2568 ส่วนไทยนั้น Skift เห็นว่าโอกาสจะใช้ท่องเที่ยวภายในประเทศมาชดเชยนั้นเป็นไปไม่ได้ เรายังคงต้องพึ่งความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทยกับจีน เพื่อเรียกตลาดต่างประเทศกลับมาบางส่วนเป็นการต่อลมหายใจให้ภาคเศรษฐกิจท่องเที่ยว

ดังนั้น การที่ประเทศไทยจะเน้นโฆษณาประสบการณ์ของไทยที่มีความสามารถในการจัดการความปลอดภัยจากโควิด-19 การท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ความไม่หนาแน่นของทางประชากรของประเทศไทย (เปรียบเทียบกับสิงคโปร์ ฮ่องกงหรือเวียดนาม) ในการโปรโมทประเทศไทยหลังโควิด-19 ก็น่าจะเป็นทิศทางที่ถูกต้อง และตลาดหลักของไทยก็คงเป็นตลาดเอเชียตะวันออกเหมือนเดิม