เปิดรายละเอียด “ช้อปดีมีคืน” คืนภาษีสูงสุด 3 หมื่นบาท เริ่มโครงการ 23 ต.ค.นี้

เปิดรายละเอียด “ช้อปดีมีคืน” คืนภาษีสูงสุด 3 หมื่นบาท เริ่มโครงการ 23 ต.ค.นี้

โฆษกรัฐบาลแจงรายละเอียดโครงการ “ช้อปดีมีคืน”  หักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการสูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท ใช้สิทธิ์ 23 ต.ค. - 3 1 ธ.ค. ชี้ใช้ซื้อสินค้าบางประเภทไม่ได้ ระบุช่วยเพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียน  1.1 แสนล้านบาท ดัน GDP เพิ่มขึ้น 0.30%

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยมติคณะรัฐมนตรีวันนี้  เห็นชอบหลักการ  มาตรการ “ช้อปดีมีคืน”  เพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ และสนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษี รวมถึงส่งเสริมการผลิตสินค้าท้องถิ่นและการอ่าน  โดยมีระยะเวลาดำเนินงาน ตั้งแต่ 23 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2563 กลุ่มเป้าหมาย คือ  ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา  ซึ่งผู้มีเงินได้ที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล สามารถหักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการเท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการสำหรับการซื้อสินค้าหรือการรับบริการในราชอาณาจักร ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 30,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563
โดยโครงการมีหลักเกณฑ์ ดังนี้ 1. ผู้มีเงินได้ต้องไม่ได้รับสิทธิ์ตามโครงการคนละครึ่งหรือโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2. ค่าสินค้าหรือค่าบริการ ไม่รวม 1) ค่าสุรา เบียร์ และไวน์ 2) ค่ายาสูบ 3) ค่าน้ำมันและก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ 4) ค่ารถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือ  5) ค่าหนังสือพิมพ์และนิยตสารและค่าบริการหนังสือพิมพ์และนิตยสารที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต  6) ค่าบริการจัดนำเที่ยวที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจนำเที่ยว และมัคคุเทศก์ 7) ค่าที่พักในโรงแรมที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม
3.ผู้มีเงินได้ต้องจ่ายค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและได้รับใบกำกับภาษีเต็มรูปตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร เว้นแต่ค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการที่ในส่วนค่าซื้อหนังสือและค่าบริการหนังสือที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบออินเทอร์เน็ต และค่าสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้ลงทะเบียนกับกรมพัฒนาชุมชุนแล้ว
ทั้งนี้ จากฐานข้อมูลผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปี 2561 คาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธิ์ประมาณ 3.7 ล้านคน ซึ่งรัฐจะสูญเสียรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเผยถึงประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับว่า จะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการบริโภคภายในประเทศในช่วงปลายปี 2563 ซึ่งคาดว่าจะทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นมูลค่าประมาณ 1.1 แสนล้านบาท และคาดว่าจะช่วยให้ GDP เพิ่มขึ้นประมาณ  0.30%  แม้จะสูญเสียรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาส่วนหนึ่งจากการหักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการของผู้มีเงินได้ แต่จะเป็นการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ส่งผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวม  พร้อมทั้งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะเป็นการขยายฐานภาษี และส่งผลดีต่อการจัดเก็บรายได้ภาษีของรัฐในระยะยาวอีกด้วย