กองทัพเรือ จัดกิจกรรมน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ 'ในหลวง ร.9'

กองทัพเรือ จัดกิจกรรมน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ 'ในหลวง ร.9'

กองทัพเรือ จัดกิจกรรมน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ "ในหลวง ร.9" ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยพื้นที่ต่างๆ - เตรียมเรือผลักดันน้ำให้การสนับสนุน การเร่งระบายน้ำ

เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2563 พลเรือโท เชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ นำทีมงานรองโฆษกกองทัพเรือ ประกอบด้วย พลเรือตรี พาสุกรี วิลัยรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักจิตวิทยา กรมกิจการพลเรือทหารเรือ, นาวาเอก ปิยะศักดิ์ นิลนิมิตร รองเลขานุการกองทัพเรือ, นาวาโทหญิง มธุศร เสิศพานิช หัวหน้าแผนกกฎหมายปฏิบัติการทางทหาร สำนักงานพระธรรมนูญทหารเรือ จัดให้มีการแถลงข่าว กองทัพเรือจัดกิจกรรมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต 13 ตุลาคม 2563 และการ ให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงการจัดเตรียมเรือผลักดันน้ำเพื่อให้การสนับสนุน การเร่งระบายน้ำ ในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี

พลเรือตรี พาสุกรี วิลัยรักษ์ รองโฆษกกองทัพเรือ กล่าวว่า เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2563 นี้ กองทัพเรือ ได้จัดให้มีกิจกรรม "แสงเทียนแห่งใจ จารึกไว้ตราบนิรันดร์" เพื่อร่วมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่มีต่อกองทัพเรือ ณ อุทยาน "เรือของพ่อ" เรือ ต. 91 หน้าอ่าวดงตาล อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยกิจกรรม ที่จัดให้มีขึ้นประกอบด้วยการ แสดงดนตรีโดยวงซิมโฟนีออเคสตร้าดุริยางค์ทหารเรือเต็มวง พร้อมศิลปินรับเชิญ อาทิ เรือตรี สันติ ลุนเผ่ การจัดนิทรรศการ "พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 กับ งานนาวาสถาปัตย์" โดยมี เรือรบของกองทัพเรือลอยลำหน้าอ่าวดงตาล โดยกำลังพลประจำเรือจะร่วมจุดเทียน บริเวณดาดฟ้าเรือ ในการนี้จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกิจกรรม การกล่าวตั้งแต่เวลา 17.30 น.เป็นต้นไป โดยมีส่วนของพิธีจุดเทียนจะมีขึ้นในเวลา 19.30 น

ด้าน นาวาเอก ปิยะศักดิ์ นิลนิมิตร รองโฆษกกองทัพเรือ ได้กล่าวถึงการดำเนินการของกองทัพเรือเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ และการจัดเตรียมเรือผลักดันน้ำเพื่อเร่งระบายน้ำในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีว่า ตามที่ได้เกิดสถานการณ์ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องจากอิทธิพลของพายุโซนร้อนหลิ่นฟา ส่งผลให้หลายจังหวัดในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่บริเวณภาคตะวันออก ภาคกลางตอนล่าง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคใต้ มีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในระหว่างวันที่ 11-12 ตุลาคม 2563 นั้น กองทัพเรือ ได้รับการประสานจากจังหวัดเพชรบุรี ขอรับการสนับสนุนเรือผลักดันน้ำ พร้อมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ ในการผลักดันน้ำบริเวณแม่น้ำเพชรบุรี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเร่งการระบายน้ำลงสู่ทะเลไทย หลังจากที่เกิดฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง จนเกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ต่างๆ ของจังหวัดเพชรบุรี ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือ จึงได้จัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจผลักดันน้ำ (ฉก.ผลักดันน้ำ) รวมทั้งสนับสนุนเรือผลักดันน้ำจำนวน 20 ลำ พร้อมกำลังพล อุปกรณ์ และยุทโธปกรณ์ เพื่อปฏิบัติภารกิจผลักดันน้ำในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีตามที่ได้รับการร้องขอ และจะมีพิธีปล่อยขบวนลำเลียงเรือผลักดันน้ำชุดแรกจำนวน 10 เครื่อง ในวันนี้ (12 ตุลาคม 2563) เวลา 11.00 น. ณ อู่เรือพระจุลจอมเกล้า กรมอู่ทหารเรือ (อจปร.อร.) ตำบลแหลมฟ้าผ่า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ โดย พลเรือโท ก้องเกียรติ สัจวุฒิ เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารเรือ เป็นประธานในพิธี ซึ่งเรือกองทัพเรือจะทำการติดตั้งเรือผลักดันน้ำที่บริเวณวัดคุ้งตำหนัก อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี จำนวน 20 ลำ เพื่อช่วยบรรเทาสถานการณ์ปัจจุบันจนกว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

ปัจจุบันสถานการณ์สาธารณภัยในประเทศไทย มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตของประชาชนและความเสียหายของทรัพย์สินในวงกว้าง ซึ่งส่งผลกระทบทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมของประเทศ ดังนั้น งานด้านการบรรเทาสาธารณภัย ในการป้องกันและลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน จึงนับว่ามีความสำคัญและต้องดำเนินการในการบูรณาการร่วมกันทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน พลเรือน และองค์กรสาธารณกุศลต่างๆ กองทัพเรือ โดย พลเรือเอก ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ให้ความสำคัญในด้านการบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งถูกบรรจุไว้ในนโยบายกองทัพเรือ ประจำปีงบประมาณ 2564 ด้านกิจการพลเรือน ในการพัฒนาระบบงานด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และการช่วยเหลือประชาชนทั้งทางบก และทะเล ในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพเรือ และในพื้นที่ที่ได้รับมอบหมายได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพตามเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ รวมทั้งมุ่งเน้นการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ผลการปฏิบัติงานของกองทัพเรืออย่างต่อเนื่อง ให้มีภาพลักษณ์ที่ดีและรับแรงสนับสนุนจากสังคมและประชาชน

กองทัพเรือ ได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือ (ศบภ.ทร.) โดยแบ่งหน้าที่และสายการบังคับบัญชาเป็นฝ่ายต่าง ๆ และส่วนบัญชาการ รวมทั้งส่วนสนับสนุน ในการให้การสนับสนุนยุทโธปกรณ์ อุปกรณ์ เครื่องมือ ยานพาหนะ และกำลังพล ในการป้องกันและช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยพิบัติ รวมทั้ง การฟื้นฟูบูรณะ เพื่อบรรเทาทุกข์ขั้นต้นแก่ประชาชนที่ประสบภัยพิบัติ โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยราชการ พลเรือน และหน่วยงานภาคเอกชน ในพื้นที่ความรับผิดชอบของกองทัพเรือ ซึ่งศูนย์บรรเทา สาธารณภัยกองทัพเรือ ประกอบด้วยพื้นที่ต่าง ๆ จำนวน 7 ศูนย์ ดังนี้
1. ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรื่อภาคที่ 1 (ศบภ.ทร.1)
2. ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรื่อภาคที่ 2 (ศบภ.ทร.2)
3. ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรื่อภาคที่ 3 (ศบภ.ทร.3)
4. ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยฐานทัพเรือกรุงเทพ (ศบภ.ฐท.กท.)
5. ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (ศบภ.กปช.จต.)
6. ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง (ศบภ.นรข.)
7. ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินภาคใต้ (ศบภ.ฉก.นย.ภต.)

ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือ ได้ดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ ในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพเรือ และในพื้นที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล และตามแผนบรรเทาสาธารณภัยกระทรวงกลาโหม 2558 รวมทั้งเป็นไปตามคำสั่งการของ พลเรือเอก ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือ ให้ทุกหน่วยของกองทัพเรือเตรียมความพร้อมของกำลังพลและยุทโธปกรณ์ ให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยพิบัติต่างๆ โดยเน้นให้ความช่วยเหลือประชาชนตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุจนสถานการณ์คลี่คลายกลับสู่ภาวะปกติ

ด้าน นาวาโทหญิง มธุศร เสิศพานิช รองโฆษกกองทัพเรือ ได้แนะนำช่องทางการรับทราบข้อมูลข่าวสารจากทางกองทัพเรือ มีสำนักงานโฆษกกองทัพเรือเป็นช่องทางหลัก โดยจะมีการผลิตวิดีทัศน์การแถลงเรื่องต่าง ๆ นำเสนอผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ที่สำคัญได้แก่ เฟซบุ๊กแฟนเพจ กองทัพรือ Royal Thai Navy เฟซบุ๊กแฟนเพจโฆษกกองทัพเรือ เว็บไซต์กองทัพเรือ ทั้งนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้เน้นย้ำกับกำลังพลให้ระมัดระวังในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) มิให้เป็นเครื่องมือในการทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมด้วย