สธ.เผยชนวนเหตุโควิด19ระบาดระลอก2

สธ.เผยชนวนเหตุโควิด19ระบาดระลอก2

ทีมวิชาการโควิด19คาดยอดติดเชื้อในไทยมากกว่ายอดรายงานจริง 2 เท่า ระบุ 7 ปัจจัยช่วยไทยคุมสถานการณ์ได้ดี เผยเหตุทำระบาดระลอก2 ย้ำค้นเจอคนป่วยช้าไป 7 วัน ประสิทธิผลควบคุมโรคเหลือ 4 % กำชับคนไทยร่วมมือใช้แอปฯมือถือ ช่วยติดตามผู้สัมผัส ควบคุมโรคได้เร็ว

 นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) กล่าวว่า สถานการณ์ภาพรวมของประเทศไทยเมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ของทั้งโลกขณะนี้ซึ่งมีผู้ป่วย 34 ล้านคนแล้วยังไม่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้นเท่าไหร่ยังคงอยู่ในระดับสูง ในส่วนของประเทศไทยผู้ป่วยในระบบรายงาน 3,575 คน แต่จากการคาดประมาณของทีมวิชาการประเทศไทยน่าจะมีผู้ติดเชื้อมากกว่านี้ โดยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 6 พันกว่าคน

ปัจจัยที่ทำให้ประเทศไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดี ประกอบด้วย 1.ระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง ได้รับคะแนนอันดับดีทั้งในระดับโลกและระดับเอเชีย มีทีมสอบสวนโรคและอสม.ที่เข้มแข็ง 2. การเริ่มปฏิบัติงานอย่างรวดเร็ว โดยหลังจากมีข่าวการระบาดของโควิด-19 มาตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค. 2562 จากนั้นวันที่ 3 ม.ค. 2563 ไทยเริ่มปฏิบัติการด้านสาธารณสุขทันที และมีการคัดกรองผู้ที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น 3. ใช้ความรู้วิชาการมาเป็นตัวนำ ทีมวิชาการยังทำงานอย่างเข้มแข็ง การตัดสินใจหลายอย่างที่ต้องใช้หลักฐานทางวิชาการก็สามารถร่วมกันคิดร่วมกันทำได้ค่อนข้างดี

4. ภาวะการนำในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับสูงสุดของประเทศ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำกระทรวงต่างๆ ตลอดจนพื้นที่ ตำบล หมู่บ้านก็มีส่วนร่วมเข้ามาช่วยในการประคับประคองสถานการณ์ 5. ความร่วมมือทุกภาคทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมต่างๆ 6. การสื่อสารที่ดี และ 7.ความร่วมมือร่วมใจของคนไทย เมื่อเผชิญสถานการณ์วิกฤตใดๆ ก็ตามคนไทยจะหันหน้าเข้าหากัน

นพ.ธนรักษ์ กล่าวด้วยว่า สถานการณ์การระบาดของโควิด19ในประเทศเมียนมาเป็นตัวกดดันสำคัญของประเทศไทย ว่าจะมีการระบาดหรือไม่ แต่หากมีผู้ติดเชื้อเข้ามาแล้วมีระบบควบคุมป้องกันโรค มีการจัดการที่ดีในระยะเวลาที่เหมาะสม ก็จะควบคุมการระบาดในประเทศไทยได้ แต่หากยังมีการปล่อยให้ลักลอบเข้ามา ความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดในประเทศไทยก็จะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งขณะนี้สถานการณ์การระบาดเริ่มคลืบคลานและเริ่มเห็นว่าการระบาดใกล้ชายแดนไทยเข้ามาทุกที เพราะฉะนั้น เรื่องการกวดขันคนที่เดินทางเข้าเมืองผิดกฎหมายให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากที่ทุกฝ่ายไม่เพียงแต่ภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม ประชาชนทุกคนสามารถช่วยกันสอดส่องได้หากพบการเข้าเมืองผิดกฎหมายขอให้ช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้กับภาครัฐด้วย

“การที่ประเทศไทยจะเกิดการระบาดระลอก2 หรือไม่ขึ้นอยู่กับมีการหละหลวมมาตรการต่างๆ ประมาท และป้องกันโรคไม่ได้อย่างที่ควรจะทำ และถ้าระบาดระลอก 2 ไม่ได้มีหลักฐานชัดว่าจะรุนแรงกว่ารอบแรกเสมอไป การจะรุนแรงหรือไม่รุนแรง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของโรค แต่ขึ้นอยู่กับมาตรการควบคุมป้องกันโรคและความร่วมมือของประชาชน หากสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า เมื่อออกไปพื้นที่ชุมชน ก็จะลดโอกาสที่จะเกิดการระบาดใหญ่ได้มาก และเวลาเกิดเหตุการณ์ขึ้นการตอบโต้หรือตอบสนองต่อเหตุการณ์อย่างเหมาะสมจะมีผลกระทบต่อชีวิตประชาชนน้อยที่สุด ถือว่าดีกว่าการตอบโต้แบบรุนแรง”นพ.ธนรักษ์กล่าว

รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวด้วยว่า ข้อมูลจากการศึกษาพบว่า การดำเนินการมาตรการควบคุมโรคทางสาธารณสุขที่ล่าช้า ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของการควบคุมโรค โดยพบว่าหากดำเนินการสอบสวนควบคุมโรคล่าช้าน้อยกว่า 1 วัน หรือตรวจเจอหลังมีผู้ป่วยเกิดขึ้นแล้ว 1 วัน จะมีประสิทธิผลในการควบคุมโรคเหลือ 79.9% แต่หากล่าช้าถึง 3 วัน ประสิทธิผลเหลือ 41.8% ลดลงมาถึงครึ่ง และหากล่าช้าถึง 7 วัน ประสิทธิผลจะเหลือเพียง 4.9% เพราะฉะนั้น การตรวจเจอผู้ติดเชื้อได้เร็ว จะส่งผลโดยตรงต่อการควบคุมโรคไม่ให้ระบาดและแพร่ออกไปในวงกว้าง ซึ่งการที่มีโมบายแอปพลิเคชันต่างๆ ในการติดตามผู้สัมผัสผู้ติดเชื้อ จะทำให้สามารถติดตามได้เร็ว และควบคุมโรคได้ทันการ ประสิทธิผลของการควบคุมโรคก็จะมากขึ้น

"การที่ทำให้มาตรการควบคุมโรคทางสาธารณสุข สามารถดำเนินการได้เร็ว เป็นสิ่งสำคัญสูงสุดในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาด ซึ่งคนไทยสามารถช่วยได้ โดยการใช้แอพพลิเคชั่น ทั้งหมอชนะ หรือไทยชนะในการเข้าไปใช้บริการสถานที่ต่างๆ เพราะเมื่อเกิดการตรวจเจอผู้ติดเชื้อขึ้น จะสามารถตามหาคนสัมผัสได้ร็ว และเข้าไปควบคุมสถานการณ์ได้ทัน" นพ.ธนรักษ์ กล่าว