หุ้น‘เครื่องสำอาง’พุ่งยกแผง รับอานิสงส์เปิดรับนักท่องเที่ยว

หุ้น‘เครื่องสำอาง’พุ่งยกแผง รับอานิสงส์เปิดรับนักท่องเที่ยว

หุ้นกลุ่ม “เครื่องสำอาง” กอดคอพุ่ง “บิวตี้” ชนซิลลิ่ง 15% รับอานิสงส์เตรียมเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 6 กลุ่ม เผยล็อตแรกเดินทางเข้าประเทศ 8 ต.ค.นี้ 

ด้าน “นักวิเคราะห์”​ ย้ำพื้นฐานยังไม่เปลี่ยน เชื่อราคาวิ่งแค่แรงซื้อเก็งกำไรระยะสั้น ขณะ ผลดำเนินงานปีนี้ยังหนัก ลุ้นพลิกมีกำไรปีหน้า 

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นกลุ่มเครื่องสำอาง ได้แก่ บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) บมจ.ดู เดย์ ดรีม (DDD) และบมจ.คาร์มาร์ท (KAMART) ต่างปรับตัวขึ้นถ้วนหน้า โดยเฉพาะในรายของ BEAUTY ซึ่งราคาหุ้นพุ่งขึ้นแตะเพดาน (Ceiling) ของวานนี้(29ก.ย.) ที่ 1.32 บาท เพิ่มขึ้น 14.78% ขณะที่ DDD ขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดที่ 18.80 บาท เพิ่มขึ้น 6.81% โดยทั้งสองบริษัทมีปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ย 5 วันทำการก่อนหน้ากว่า 700% ส่วนหุ้น KAMART เพิ่มขึ้นแรงเช่นกัน โดยไปทำจุดสูงสุดที่ 3.22 บาท เพิ่มขึ้น 11% จากวันก่อนหน้า

ทั้งนี้ ราคาหุ้นของทั้งสามบริษัทก่อนที่จะปรับตัวขึ้นมารอบนี้ ยังคงติดลบอยู่ราว 25 – 30% จากช่วงปลายปีก่อน โดยผลประกอบการของ BEAUTY อ่อนแอมากที่สุด สำหรับ 6 เดือนที่ผ่านมา ขาดทุนสุทธิ 101.04 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 116.32 ล้านบาท 

ขณะที่ KAMART ยังมีกำไรสุทธิ 55.58 ล้านบาท แต่ก็ลดลง 59.4% จากปีก่อน ขณะที่ DDD มีกำไรสุทธิ 37.18 ล้านบาท ดูเหมือนจะโดดเด่นที่สุดในกลุ่ม ซึ่งผลประกอบการพลิกมาเป็นกำไรสุทธิ 37.19 ล้านบาท หลังจากขาดทุนสุทธิ 4 ไตรมาสติดต่อกัน โดยไตรมาส 2 ที่ผ่านมามีกำไรสุทธิ 48.05 ล้านบาท

นางสาวธรีทิพย์ วงษ์แสงไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า โดยปัจจัยพื้นฐานของหุ้นทั้ง 3 บริษัท ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนักจากช่วงก่อนหน้านี้ โดยหลักการปรับตัวขึ้นน่าจะเป็นการตอบสนองกับข่าวที่จะเริ่มให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศได้

โดยทั้งในส่วนของ DDD และ BEAUTY มีสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวพอสมควร แต่ KAMART มีสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวน้อยกว่า ทำให้ผลประกอบการไม่ถึงกับขาดทุน สวนทางกับ DDD กับ BEAUTY อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาก็เห็นการปรับกลยุทธ์ของแต่ละบริษัท เช่น ปิดสาขาที่ไม่ทำกำไร แต่โดยพื้นฐานแล้ว ยังไม่เห็นปัจจัยที่จะหนุนให้ผลประกอบการฟื้นตัวเร็วนัก

“คงต้องรอดูว่าการเปิดประเทศจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากน้อยเพียงใด โดยรวมยังให้น้ำหนักเป็นกลาง และยังไม่น่าจะเปลี่ยนคำแนะนำในปัจจุบัน น่าจะต้องการปัจจัยสนับสนุนที่แข็งแรงมากกว่านี้ โดยสรุปจึงมองว่าการฟื้นตัวรอบนี้น่าจะเป็นแรงเก็งกำไรจากข่าวเท่านั้น”

ทั้งนี้ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. อนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ 6 กลุ่ม เดินทางเข้ามาประเทศไทย โดยพบว่านักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มแรกแจ้งมาว่าพร้อมเดินทางในวันที่ 8 ต.ค. นี้ คือ กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนจากกว่างโจว 150 คน เดินทางมากับสายการบินแอร์เอเชียแบบเช่าเหมาลำมาสนามบินภูเก็ต จะมีการบินเข้ามาเพิ่มเติมอีกกลุ่มในวันที่ 25 ต.ค. 2563 จำนวน 126 คน กับสายการบินไทยสมายล์ มาสนามบินสุวรรณภูมิ และวันที่ 1 พ.ย. 2563 เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียและผู้ถือวีซ่าเชงเก้น จำนวน 120 คน เดินทางเข้าไทย โดยทั้งหมดต้องเข้ารับการกักตัว (State Quarantine) 14 วัน

ด้าน นายนภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง ระบุว่า หากตัดรายการพิเศษ คือ เงินปันผลรับจากสินทรัพย์ทางการเงิน 23 ล้านบาท และกำไรสุทธิจากการวัดมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์และหนี้ทางการเงิน 86 ล้านบาท DDD จะมีผลขาดทุนหลัก 44 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 23 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2562

แม้ว่ายอดขายของ DDD ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา จะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่เรามองเห็นถึงประเด็นที่น่าสนใจคือยอดขายของคิวรอนที่แทบไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ถือได้ว่าการตัดสินใจเข้าซื้อคิวรอนของ DDD ในช่วงก่อนหน้านี้เป็นดีลที่ดีและถูกเวลา ที่เข้ามาช่วยกระจายความเสี่ยงพอร์ตสินค้าของบริษัท

เรามองว่าผลประกอบการของ DDD ทำจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา แต่การฟื้นตัวคงเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปซึ่งต้องจับตามองการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศและการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวหลังการเริ่มเปิดประเทศอีกครั้ง ซึ่งเรายังคงคาแนะนำรอดูสถานการณ์ (wait-and-see)

ขณะที่ บล.ทิสโก้ ประเมินแนวโน้มของ BEAUTY ไว้ก่อนหน้านี้ว่า ผลประกอบการรวมปี 2563 น่าจะขาดทุน 68 ล้านบาท ก่อนจะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ 122 ล้านบาท ในปี 2564 โดยสัดส่วนรายได้ของ BEAUTYกว่า 28% มาจากต่างประเทศ ส่วนใหญ่จากประเทศจีน