รัฐต้องคุม 'โควิด' ให้อยู่ ก่อนระบาดระลอกสอง

รัฐต้องคุม 'โควิด' ให้อยู่ ก่อนระบาดระลอกสอง

จากกรณีที่ไทยพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 3 ราย โดยพบว่ามีการเดินทางออกนอกที่พักที่จัดไว้ให้ จึงเสี่ยงต่อการติอเชื้อในไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องนำมาเป็นบทเรียนราคาแพง เร่งหามาตรการเร่งด่วนอุดช่องโหว่โควิด ด้วยมาตรการคุมอย่างรัดกุมเสมอหน้ากัน

วานนี้ (13 ก.ค.) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. รายงานสถานการณ์ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวัน พบมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3 ราย หนึ่งในนั้นเป็นลูกเรือทหารชาวอิยิปต์ อายุ 43 ปี เข้ามาตามมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (ฉบับที่ 12) และคำสั่ง ศบค.ที่ 7/2563 ที่อนุญาตให้คน 11 กลุ่ม เดินทางเข้าไทยได้ตามภารกิจ เมื่อเข้ามาจะมีที่พักให้ แต่ลูกเรือทหารรายนี้มีการเดินทางไปยังห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง และยังไปในประเทศเสี่ยง ก่อนกลับเข้ามาในไทยและเดินทางกลับอิยิปต์

เช่นเดียวกับกรณีผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งเป็นเด็กหญิงอายุ 9 ขวบ เดินทางมากับครอบครัว (คณะทูต) รวม 5 คน มาจากภูมิภาคแอฟริกา ซึ่ง ศบค.แถลงพบการติดเชื้อเมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา ตามข้อปฏิบัติต้องกักให้อยู่ในพื้นที่ของสถานทูต เป็นเวลา 14 วัน แต่พบว่าไปพักที่คอนโดมิเนียม จึงเป็นอีกรายที่เกิดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มในไทย

สองผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ ที่เข้ามาในประเทศ ถือเป็น “กรณีพิเศษ” ไม่เข้าสู่การกักตัว 14 วันในสถานที่ที่จัดไว้นั้น เมื่อตรวจพบเชื้อ ทำให้เกิดความอลหม่านในประเทศไทยอีกครั้ง นั่นเพราะจะต้องตรวจ กักตัวผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงใกล้ชิดกับบุคคลเหล่านี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าวิตกอย่างยิ่ง

เราเห็นว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ในทุกภาคส่วน ต้องนำมาเป็น “บทเรียนราคาแพง” พร้อมกับเร่งหามาตรการเร่งด่วน “อุดช่องโหว่โควิด” ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการดำเนินมาตรการคุมโควิดอย่างรัดกุม “เสมอหน้ากัน” โดยจะต้องเข้มงวดกับผู้ที่ได้รับสิทธิ์พิเศษเดินทางเข้ามาในประเทศ ตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงไว้กับประเทศต้นทางอย่างเคร่งครัด ก่อนที่ประเทศไทย จะเป็นอีกประเทศ ที่เกิดการระบาดระลอกสอง ซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิดสถานการณ์เช่นนั้น

นั่นเพราะผลกระทบจากการล็อกดาวน์ประเทศ จากพิษโควิด-19 ในระลอกแรก ทำให้เศรษฐกิจประเทศเดินสู่อาการสะบักสะบอมเกินพออยู่แล้ว โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปีนี้ว่าจะติดลบมากถึง 8.1%

ขณะที่สถานการณ์โควิด-19 ในไทยช่วงที่ผ่านมาคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยไม่พบผู้ติดเชื้อภายในประเทศมานานกว่า 40 วัน จนกระทั่งมาสะดุดลง ด้วยการพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ ที่แม้จะไม่ใช่คนไทย แต่กลับเดินทางปะปนกับผู้คนในประเทศ โดยไม่ได้กักตัว

สิ่งนี้เป็นเรื่องที่คนไทยเกินจะรับไหว เพราะอุตส่าห์ดูแลตัวเองมาเป็นอย่างดี สุดท้ายประเทศเหมือนจะมาตกม้าตาย ไม่รู้ว่าเกิดจากความหละหลวม หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุอะไร ก็ต้องแก้ไข สะสาง ก่อนจะสายเกินแก้ เดินสู่การล็อกดาวน์ ประเทศอีกรอบ ถ้าเกิดขึ้นจริง ผลกระทบน่าจะเกินเยียวยา