‘ยกเลิกเคอร์ฟิว’ มีผล 5 ทุ่มวันนี้ กำหนดข้อปฏิบัติเคร่งครัด ออกนอกบ้านสวมหน้ากาก

‘ยกเลิกเคอร์ฟิว’ มีผล 5 ทุ่มวันนี้ กำหนดข้อปฏิบัติเคร่งครัด ออกนอกบ้านสวมหน้ากาก

ตัวเลขติดโควิด-19 จากประเทศซาอุฯ 5 รายในสถานกักกันของรัฐ ขณะที่ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศ “ยกเลิกเคอร์ฟิว” มีผลตั้งแต่ 5 ทุ่ม คืนนี้ พร้อมออกข้อปฏิบัติเคร่งครัด ด้านผบช.ท่องเที่ยว สั่ง ตร.ท่องเที่ยวทั่วประเทศเข้มมาตรการทั้งประชาชน-สถานประกอบการ  

ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 (ศบค.) เผยแพร่ข้อมูลสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย ประจำวันที่ 13 มิ.ย.2563 โดยระบุว่า มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5 ราย เป็นคนไทยที่เดินทางกลับจากประเทศซาอุดีอาระเบีย และเข้ารับการเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้าน ยอดผู้ป่วยกลับบ้าน สะสม 2,987 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.31 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 89 ราย หรือร้อยละ 2.84 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,134 ราย

จากรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ ทั้ง 5 ราย เป็นนักเรียน/นักศึกษา เพศชาย ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการกักตัวเพื่อเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ ทำการตรวจคัดกรอง ณ ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ สนามบินสุวรรณภูมิ มีอาการเข้าข่ายเฝ้าระวัง (PUI) จึงเก็บตัวอย่างส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ ผลพบเชื้อ ส่งผลให้ขณะนี้สถานการณ์ประเทศไทย พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและได้เข้ารับการเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ ซึ่งไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อภายในประเทศต่อเนื่องเป็นเวลา 19 วัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :

ไทยอันดับ 2 ใน 184 ปท.ฟื้นตัวดี

สำหรับการจัดอันดับประเทศที่ฟื้นตัวจากโควิด 19 ใน 184 ประเทศทั่วโลก พบว่า ประเทศไทยฟื้นตัวเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศออสเตรเลีย และเป็นอันดับที่ 1 ของเอเชีย ซึ่งเป็นการจัดอันดับจากองค์กร Global COVID-19 โดยความร่วมมือของกระทรวงวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม (MOSTI) ประเทศมาเลเซีย และกลุ่ม Sunway คิดคะแนนจากการยืนยันต่อประชากรเทียบกับขนาดของแต่ละประเทศ สัดส่วนการเสียชีวิตเมื่อเทียบกับขนาดประชากร และคะแนนดัชนีความมั่นคงด้านสุขภาพโลก (GHS) เพื่อประเมินความพร้อมของประเทศในการรับมือการแพร่ระบาดของโควิด 19

 โดยประเทศ 20 อันดับแรกมีดังนี้ 1.ออสเตรเลีย 2.ไทย 3.เดนมาร์ก 4.ฮ่องกง 5.ไต้หวัน 6.นิวซีแลนด์ 7.เกาหลีใต้ 8.ลิโทเนีย 9.ไอซ์แลนด์ 10.สโลวาเนีย 11.ลัตเวีย 12.สวิตเซอร์แลด์ 13.เวียดนาม 14.มาเลเซีย 15.นอร์เวย์ 16.สโลวาเกีย 17.เยอรมัน 18.ออสเตรีย 19.ลักต์แซมเบิก 20.ฟินแลนด์

ทั้งนี้ การที่ประเทศไทยได้คะแนนการฟื้นตัวจากโควิด 19 เป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นความร่วมมือของประชาชนที่ปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข แต่ยังคงขอความร่วมมือให้ประชาชนปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและสม่ำเสมอ อย่าประมาท คงเข้มการป้องกันตัวเองสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าทุกครั้งที่ออกนอกบ้านหรือเคหสถาน ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น 1-2 เมตร ไม่นำมือสัมผัสใบหน้า ตา จมูก ปาก หากมีการสวมเฟซชิลด์ ควรสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าร่วมด้วย เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไปในสถานที่แออัด มีการรวมตัวของคนจำนวนมาก และจำกัดระยะเวลาการใช้บริการในสถานที่ใดสถานที่หนึ่งเป็นเวลาสั้นเพื่อลดความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อ

เลิก ‘เคอร์ฟิว’ มีผล‘ 5 ทุ่ม’คืนนี้

 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 10) ความว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติในการประชุมเมื่อวันที่ 26 พ.ค.2563 ให้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรออกไปตั้งแต่ วันที่ 1 มิ.ย.2563 จนถึงวันที่ 30 มิ.ย.2563 นั้น

โดยที่สมควรผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนำ 2019 (โควิด-19 ) เป็นช่วงที่ 4 ต่อเนื่องจากการผ่อนคลายที่ดำเนินมาก่อนแล้ว เป็นลำดับ ทั้งนี้ ยังคงต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคตามมาตรฐานสากลอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า การเว้นระยะห่างทางสังคม และการยอมรับระบบติดตามตัวผ่านแอพพลิเคชั่นทางโทรศัพท์มือถือ

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 นายกรัฐมนตรีจึงออกข้อกำหนดเป็นการทั่วไปและข้อปฏิบัติแก่ส่วนราชการ

สาระสำคัญของประกาศฉบับนี้ คือการประกาศผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด- 19) เป็นช่วงที่4 และการยกเลิกการห้ามออกนอกเคหสถาน เพื่อผ่อนคลายและบรรเทา ผลกระทบต่อการดำเนินเนินชีวิตประจำวันของประชาชน จึงให้ยกเลิกการห้ามออกนอกเคหสถาน ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่เวลา 23.00 น.ของวันที่ 14 มิ.ย.พ.ศ.2563

สั่งตร.ท่องเที่ยวคุมเข้มทั่วประเทศ

       วานนี้ (13 มิ.ย.) ที่บริเวณท่าเทียบเรือแหลมบาลีฮาย อ.บางละมุง จ.ชลบุรี พล.ต.ท.เชษฐา โกมลวรรธนะ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (ผบช.ทท.) พร้อมคณะและกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวพัทยาเดินทางมาดูแลความเรียบร้อยและร่วมอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่กำลังพากันเดินทางไปพักผ่อนยังพื้นที่เกาะล้านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองพัทยา ภายหลังจากที่ศูนย์อำนวยการสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ได้มีการผ่อนปรนในระยะที่ 4 และการยกเลิกเคอร์ฟิวส์ในวันที่ 15 มิ.ย.นี้

โดยการนี้ได้มีการจัดเตรียมหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือมาแจกจ่ายให้กับนักท่องเที่ยวบริเวณดังกล่าว รวมทั้งการประชาสัมพันธ์การขอรับความร่วมมือในการปฏิบัติตัวให้อยู่ในกรอบของการป้องกันการแพร่ระบาดที่ถูกต้องโดยพบว่าได้รับการตอบรับที่ดี ขณะเดียวกันยังเป็นการตรวจแผนและวิธีรวมทั้งมาตรการในการป้องกันและเฝ้าระวังของเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกด้วย

จากนั้นผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวยังได้เดินทางไปตรวจการดำเนินการมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในส่วนของพื้นที่ชายหาดจอมเทียน โดยพบว่าทางตำรวจท่องเที่ยว (ตร.ทท.) พัทยาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีการจัดกำลังเฝ้าระวังและอำนวยความสะดวกตามแนวชายหาดตลอด 24 ชม. ขณะที่จากการตรวจสอบในส่วนของผู้ประกอบการร่มเตียง รวมไปถึงร้านนวดและร้านตัดผมต่างๆ ก็มีการดำเนินการตามมาตรการป้องกันเป็นอย่างดี

ย้ำแนวปฏิบัติสถานประกอบการ

พล.ต.ท.เชษฐา กล่าวว่า การเดินทางมาครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้กับนักท่องเที่ยวหลังจากได้มีการผ่อนคลายตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขและการผ่อนปรนยกเลิกเคอร์ฟิวส์ในวันที่ 15 มิ.ย.นี้ พร้อมกันกับที่ศูนย์อำนวยการสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ยังได้มีการผ่อนปรนมาตรการต่างๆ ในระยะที่ 4 ซึ่งจะมีสถานประกอบการต่างๆ ที่ได้รับอนุญาตให้เปิดการประกอบกิจการ รวมถึงการจัดกิจกรรมอื่นๆ ด้วย

1.การประชาสัมพันธ์ให้สถานประกอบการนั้นปฏิบัติติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด รวมไปถึงการปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข ทั้งการรักษาความสะอาด การกำหนดผู้มาใช้บริการ การเว้นระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing และการป้องกันตัวเองด้วยการใช้หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า โดยให้ประชาชนและผู้ประกอบการปฏิบัติตามมาตรการเหล่านี้อย่างเข้มงวด

2.การตักเตือน หากพบการกระทำความผิดให้มีการตักเตือนก่อน แต่ยังจะไม่มีการจับกุม

3.การจับกุม ทั้งนี้ ได้มีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวทั่วประเทศดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวอย่างเคร่งครัดในการออกตรวจ แหล่งท่องเที่ยวและสถานประกอบ การต่างๆ ให้มีการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19

ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่สำรวจสถานประกอบการต่าง ๆ รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับการผ่อนปรนพบว่าผู้ประกอบการได้ปฏิบัติตามมาตรการที่รัฐได้กำหนดให้อย่างเคร่งครัด ทั้งการลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่นไทยชนะ การจัดที่นั่งแบบเว้นระยะห่างและการจัดจุดคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังพบประชาชนและนักท่องเที่ยวให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการและสวมหน้ากากอนามัยทุกคนอีกด้วย