ศบค. เคาะวันนี้ 'เลิกเคอร์ฟิว' เล็งจับคู่ท่องเที่ยวไทย-จีน

ศบค. เคาะวันนี้ 'เลิกเคอร์ฟิว' เล็งจับคู่ท่องเที่ยวไทย-จีน

เลขาฯ สมช. เผยผ่อนปรนเฟส 4 ปลดล็อกกิจการ 95% เหตุประชาชนร่วมมืออย่างดี “นายกฯ” ย้ำทำด้วยความระมัดระวัง ให้รอฟังข่าวดีเลิกเคอร์ฟิวประชุมศบค.ใหญ่ เคาะวันนี้ (12 มิ.ย.)


รมว.สธ. เผยมีวาระถก “ทราเวล บับเบิล” เล็งจับคู่แลกเปลี่ยนท่องเที่ยวกับจีน ส่วนสถานการณ์ล่าสุดไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ ขณะที่ผู้ป่วยรอบ 14 วันเดินทางมาจากต่างประเทศทั้งหมด เตือนใส่เฟซชิลด์อย่างเดียวไม่สามารถป้องกันละอองฝอยไอจาม

เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 63 ที่ทำเนียบรัฐบาลพล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด – 19) กล่าวภายหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ชุดเล็ก ว่า ที่ประชุมได้ข้อสรุปว่า จะผ่อนคลายเกือบทั้งหมดหรือจะมีการผ่อนปรนมาตรการสำหรับกิจการหรือกิจกรรม ในระยะ 4 ประมาณ 95%

พล.อ.สมศักดิ์กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เน้นย้ำว่าเนื่องจากที่ผ่านมาประชาชนได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี จึงให้มีการผ่อนคลายให้ได้มากที่สุดแต่ด้วยความระมัดระวัง

เมื่อถามว่า จะมีการยกเลิกเคอร์ฟิวหรือไม่นั้น พล.อ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ขอให้รอฟังข่าวดีในวันที่12 มิ.ย. โดยตนจะรายงานผลการประชุมศบค.ชุดเล็กให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายรับทราบด้วย

ลุ้นแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวจีน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ที่ประชุมของ ศบค.วันนี้ (12 มิ.ย.) นอกจากเตรียมคลายล็อคเฟส 4 แล้ว จะหารือกันเรื่องทราเวลบับเบิล (Travel Bubble)หรือการจับคู่ประเทศที่สามารถบริหารสถานการณ์โควิด-19 ได้ดีเพื่อแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวกัน เบื้องต้นน่าจะหนีไม่พ้นประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดนักท่องเที่ยวขนาดใหญ่ของโลก ส่วนประเทศอื่นๆ ล่าสุดวานนี้ (11 มิ.ย.) ได้พูดคุยกับทางสถานทูตนิวซีแลนด์ประจำประเทศไทยเกี่ยวกับเรื่องทราเวลบับเบิลเช่นกัน

นอกจากนี้ยังเตรียมหารือกับ ศบค.เกี่ยวกับประเด็นตั้งจุดตรวจภายในสนามบินของไทยเพื่อตรวจหาโรคโควิด-19 จากกลุ่มนักเดินทางชาวต่างชาติซ้ำอีกครั้ง เพื่อเพิ่มความมั่นใจก่อนอนุญาตให้เดินทางเข้าไทย

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวเสริมว่า วันนี้จะนำเรื่องทราเวลบับเบิลหารือในที่ประชุม ศบค. เนื่องจากประเทศไทยเตรียมเปิดน่านฟ้าในวันที่ 1 ก.ค.นี้ เพื่อให้สายการบินทำการบินเส้นทางระหว่างประเทศได้ โดยทางกระทรวงคมนาคมได้ยืนยันกับตนว่าจะปิดน่านฟ้าถึงวันที่ 30 มิ.ย.นี้ คงไม่มีการต่ออายุคำสั่งดังกล่าวออกไปอีก นอกจากนี้ยังมีเรื่องคือการประกาศปลดล็อกการท่องเที่ยวภายในประเทศอย่างเป็นทางการตามแนวทางการพิจารณาคลายล็อคเฟส 4

สำหรับนักเดินทางและนักท่องเที่ยวจากประเทศที่ไทยจะทำทราเวลบับเบิลด้วยนั้น เบื้องต้นจะอนุญาตให้กลุ่มนักธุรกิจที่จำเป็นต้องเดินทางมาทำงานในไทย ต้องมีเอกสารรับรองจากสำนักงานใหญ่หรือหน่วยงานที่เชิญมา รวมถึงกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องเดินทางเข้ามารักษาพยาบาลตามนัดหมาย โดยต้องมีใบรับรองแพทย์โควิด-19 อายุไม่เกิน 72 ชั่วโมง และระหว่างอยู่ในไทยต้องสามารถติดตามตัวได้

คาดชงแพ็คเก็จเที่ยว ครม.นัดหน้า

นายพิพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนเรื่องแพ็คเกจมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศซึ่งวางกรอบระยะเวลาดำเนินการ 4 เดือน ตั้งแต่ ก.ค.-ต.ค.2563จะไม่มีการนำวาระนี้หารือในที่ประชุม ศบค.วันนี้ เพราะเป็นชุดมาตรการที่ต้องใช้งบประมาณในการกระตุ้น ต้องเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในวันอังคารที่ 16 มิ.ย.นี้

“ก่อนนำเรื่องแพ็คเกจมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศเข้า ครม.สัปดาห์หน้า กระทรวงการท่องเที่ยวฯจะหารือกับกระทรวงการคลังเพิ่มเติมอีกครั้งเกี่ยวกับรายละเอียดของกลุ่มธุรกิจที่จะได้ประโยชน์จากแพ็คเกจเที่ยวปันสุข ซึ่งมุ่งส่งเสริมให้คนไทยท่องเที่ยวข้ามจังหวัด ให้เงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวคนละ 3,000 บาทต่อคน จำนวน4ล้านคน คิดเป็นงบประมาณที่ต้องใช้ 1.2 หมื่นล้านบาท”

ก่อนหน้านี้ตนได้หารือกับนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ว่าแพ็คเกจเที่ยวปันสุขจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในโรงแรม เช่น ค่าห้องพัก ค่าอาหาร และค่าสปาในโรงแรม โดยแจกบัตรกำนัลหรือVoucherผ่านแอพเป๋าตุงของธนาคารกรุงไทย เมื่อมีการเช็คอินห้องพักรัฐบาลจะโอนเงินคืนให้กับประชาชนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้จ่ายในโรงแรม แต่ทางกระทรวงการคลังให้ความเห็นว่าควรแบ่งสัดส่วนให้คนไทยที่ได้สิทธิ์ไปใช้จ่ายในธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาคท่องเที่ยวด้วย ไม่ใช่เฉพาะธุรกิจโรงแรมเพียงกลุ่มเดียว เช่น ร้านอาหารนอกโรงแรม โดยจะหารือกันเพิ่มเติมว่าจะครอบคลุมไปถึงค่ารถเช่า ค่าตั๋วเครื่องบิน และค่าอื่นๆ ด้วยหรือไม่ โดยให้เป็นค่าใช้จ่ายในหมวดท่องเที่ยวจริงๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการท่องเที่ยวซึ่งได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างหนักมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา

ส่วนแพ็คเกจกำลังใจ เพื่อตอบแทนบุคลากรที่ปฏิบัติงานแนวหน้าในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) จำนวน1.2ล้านคน ด้วยการสนับสนุนงบประมาณสำหรับการศึกษาดูงานและอบรมสัมมนา เดินทางผ่านบริษัทนำเที่ยวในประเทศ น่าจะใช้งบฯ2.4 พันล้านบาท หรือรัฐบาลจะจ่ายเงินให้2,000บาทต่อคน รวมทั้ง 2 แพ็คเกจใช้งบฯรวม 1.44 หมื่นล้านบาท

ยอดติดเชื้อล่าสุดเป็นศูนย์

วันเดียวกัน ที่กระทรวงสาธารณสุข พญ.พรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แถลงว่า ประเทศไทยไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ รวมยอดสะสม 3,125 ราย แบ่งเป็น ติดเชื้อในประเทศ 2,444 ราย ในสถานที่เฝ้าระวังที่รัฐจัดให้ 188 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม เสียชีวิตรวม 58 ราย รักษาหายกลับบ้านเพิ่ม 6 ราย รวมรักษาหายกลับบ้าน 2,997 ราย ยังรักษาตัวในโรงพยาบาล 80 ราย ผู้ป่วยยืนยันจำแนกตามพื้นที่รักษา แบ่งเป็น กรุงเทพฯ นนทบุรี 1,746 ราย ภาคเหนือ 95 ราย ภาคกลาง 429 ราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 111 ราย และ ภาคใต้ 744 ราย

ทั้งนี้ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ป่วย 100% เดินทางมาจากต่างประเทศ รวมทั้งสิ้น 60 ราย ได้แก่ คูเวต 28 ราย สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ 10 ราย ซาอุดีอาราเบีย 7 ราย อินเดีย 3 ราย ปากีสถาน 3 ราย ตุรกี 2 ราย รัสเซีย 2 ราย กาตาร์ 2 ราย สหรัฐอเมริกา 1 ราย และเนเธอร์แลนด์ 1 ราย

ขณะที่สถานการณ์ทั่วโลก 211 ประเทศ 2 เขตบริหารพิเศษ 2 เรือสำราญ มีผู้ติดเชื้อรวม 7,452,809 ราย อาการหนัก 53,815 ราย รักษาหาย 3,749,886 ราย เสียชีวิต 418,919 ราย โดย 10 อันดับ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา บลาซิล รัสเซีย อังกฤษ สเปน อินเดีย อิตาลี เปรู เยอรมนี และอิหร่าน ส่วนสถานการณ์ในเอเชีย อันดับ 1 ยังคงเป็น อินเดีย ถัดมา ได้แก่ ปากีสถาน บังคลาเทศ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย ไทย เวียดนาม เมียนมา บรูไน กัมพูชา และ ลาว

พญ.พรรณประภายังอธิบายในกรณีที่ประชาชนสงสัยว่า เมื่อสวม Face Shield จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือไม่ ว่าตามหลักการควรสวมหน้ากากอนามัยร่วมกับการสวม Face Shield เพราะหน้ากากอนามัย ช่วยป้องกันฝอยละออง ปิดปาก จมูก ซึ่งเป็นช่องทางหลักของการแพร่กระจายเชื้อโรค หากสวมเพียง Face Shield จะสามารถบังได้แค่ตา จมูกกับปากยังกระจายออกไปได้ ดังนั้น การสวม Face Shield อย่างเดียวไม่เพียงพอ.