เผยสถิติ 15วัน 'คดีพรก.ฉุกเฉิน' ขึ้นศาลแล้วกว่า 8 พันคดี

เผยสถิติ 15วัน 'คดีพรก.ฉุกเฉิน' ขึ้นศาลแล้วกว่า 8 พันคดี

เลขา ศาลฯ เผยสถิติ 15วัน คดีพรก.ฉุกเฉิน ขึ้นศาลแล้วกว่า 8 พันคดี

นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เปิดเผยข้อมูลสถิติคดีความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ที่เข้าสู่การพิจารณาของศาลชั้นต้นทั่วประเทศ ภายหลังรัฐบาลประกาศเคอร์ฟิว ห้ามบุคคลใดออกนอกเคหสถานระหว่างเวลา 22.00 น. - 04.00 น. เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19  โดยภาพรวมสถิติคดีสะสมตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.- 15 พ.ค.มีคดีที่เข้าสู่การพิจารณาของศาล ดังนี้ 

กลุ่มศาลอาญา ศาลจังหวัด และศาลแขวง   ทั้งหมด 8,990 คดี พิพากษาแล้วเสร็จ 8,756 คดี (คิดเป็นร้อยละ 97.40)  สำหรับข้อหาที่มีการกระทำผิดสูงสุด คือ การฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 จำนวน 12,116 คน ส่วนจังหวัดที่มีผู้กระทำความผิดสูงสุดคือ กรุงเทพมหานคร จำนวน 964 คน

กลุ่มศาลเยาวชนและครอบครัว  มีจำนวนคำร้องที่ขอตรวจสอบการจับ รวมทั้งสิ้น 496 คำร้อง   ข้อหาที่เข้าสู่การตรวจสอบจับกุม สูงสุด คือ ฝ่าฝืนพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ 530 คน

นายสราวุธ  กล่าวอีกว่า ภายหลังจากที่มีการบังคับใช้กฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฯ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อพิจารณาปริมาณคดีที่เข้าสู่ศาล ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. - 15 พ.ค.  เฉลี่ยวันละ 599 คดี จังหวัดที่ยังพบว่ามีการกระทำผิด ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฯ สูงสุด คือ กรุงเทพมหานคร  964  คน

ขณะที่ยอดคดีสะสมระหว่างวันที่ 3 เม.ย. - 30 เม.ย.  พบว่ากลุ่มศาลอาญา ศาลจังหวัด และศาลแขวง  มีปริมาณคดีที่ขึ้นสู่การพิจารณารวมทั้งสิ้น 17,466 คดี คดีที่พิพากษาแล้วเสร็จ 17,039 คดี คิดเป็นร้อยละ 97.56 

ส่วนข้อหาที่มีการกระทำความผิดสูงสุด คือ ฝ่าฝืนพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มีผู้กระทำผิดรวมทั้งหมด  23,628 คน รองลงมาคือ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 มีผู้กระทำผิดสะสมทั้งหมด  316 คน และพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 มีผู้กระทำผิด 38 คน จังหวัดที่กระทำความผิดสูงสุดฝ่าฝืนพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 คือกรุงเทพมหานคร 1,829 คน

ส่วนที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้มีมาตรการผ่อนปรนให้กิจการบางประเภทเปิดทำการเพิ่มเติมได้ (ผ่อนปรนเฟส 2) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าปลีก ร้านค้าส่งขนาดใหญ่และร้านอาหาร สถานที่ออกกำลังกาย ให้เปิดใช้บริการได้ตั้งแต่วันที่ 17  พ.ค. รวมทั้งได้มีการปรับเวลาเคอร์ฟิวเป็น 23.00 - 04.00 น. นั้น ขอให้พี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการ ศึกษาข้อกำหนดของมาตรการการผ่อนปรนอย่างละเอียด เคารพกฎหมายและปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคอย่างเคร่งครัดเพื่อไม่ให้ยอดสถิติคดีสูงขึ้น 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าศาลจะคำนึงถึงสถานการณ์ความปลอดภัยสาธารณะในช่วงนี้ แต่ก็ไม่ละเลยสิทธิและเสรีภาพของจำเลย โดยได้นำข้อแนะนำแนวปฏิบัติช่วงโควิด-19 ระบาด ของนายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานศาลฎีกา มาปรับใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการส่งจำเลยเข้าไปรับโทษกักขังในสถานที่กักขังหรือจำคุกในเรือนจำ เพราะเป็นการเสี่ยงที่จำเลยจะเป็นพาหะนำเชื้อไวรัสไปแพร่ระบาดในสถานที่กักขังหรือเรือนจำ ซึ่งจะส่งผลเสียหายต่อระบบสาธารณสุขโดยรวมของประเทศ จึงเห็นควรที่ศาลจะพิจารณานำมาตรการที่มีอยู่หลากหลายในประมวลกฎหมายอาญามาใช้แทน