พลังงานนำทัพ

พลังงานนำทัพ

ปธน.ทรัมป์เชื่อมั่นว่ารัสเซียและซาอุฯจะยุติสงครามราคาน้ำมันและคาดว่าจะมีการปรับลดการผลิตน้ำมันครั้งใหญ่ราว 10 – 15 ล้านบาร์เรลเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน

ตลาดหุ้นวานนี้

SET วานนี้พุ่งขึ้นปิดที่ 1,138 จุด (+32.76 จุด) หรือ +2.96% ด้วย Volume ซื้อขาย 6.9 หมื่นล้านบาท ตอบรับราคาน้ำมันดิบที่ดีดตัวขึ้นแรงหลังจีนเตรียมซื้อน้ำมันดิบเข้าคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ รวมถึงข่าวการยื่น Filing ของบ. PTTOR อีกทั้งความคาดหวังครม.เศรษฐกิจเตรียมพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 3 ส่งผลให้มีแรงซื้อในกลุ่ม ENERGY, PETRO และ COMM หนุนดัชนีปรับตัวขึ้นแรง อย่างไรก็ตามนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิ 634 ล้านบาท และขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 1,329 ล้านบาท อีกทั้ง Net Short TFEX 5,966 สัญญา

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้     

เรามีมุมมองเป็นบวกคาด SET ปรับตัวขึ้นทดสอบ 1,155 - 1,165 จุดก่อนจะสลับอ่อนตัว ตาม Sentiment เชิงบวกราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นแรงราว 25% หลังปธน.ทรัมป์เชื่อมั่นว่ารัสเซียและซาอุฯจะยุติสงครามราคาน้ำมันและคาดว่าจะมีการปรับลดการผลิตน้ำมันครั้งใหญ่ราว 10 – 15 ล้านบาร์เรลเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน ประกอบกับความคาดหวังการประชุมครม.นัดพิเศษวันนี้จะออกมาตรการระยะ 3 รวมถึงพรก.กู้เงินที่คาดว่าวงเงินจะสูงถึง 1 ล้านล้านบาทกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามคาดว่าดัชนีจะสลับอ่อนตัวลงจากความกังวลสถานการณ์ Covid-19 ที่ยังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วโดยล่าสุดยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกพุ่งขึ้นเป็น 1 ล้านราย และเสียชีวิต 5.1 หมื่นราย อีกทั้งยังกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจให้ถดถอยโดยสะท้อนได้จากยอดผู้ขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 6.6 ล้านรายซึ่งจะเป็นความกังวลต่อทิศทางตลาด

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่มพลังงานและปิโตร ( PTT, PTTEP, TOP, PTTGC, IVL) อานิสงส์ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นแรง
  • กลุ่มอาหาร (CPF, TU) ได้ประโยชน์จากแนวโน้มเงินบาทอ่อนค่าและคาดกำไร 1Q20F เติบโต
  • กลุ่ม ICT (ADVANC, INTUCH, DTAC)  ได้อานิสงส์ Work from home
  • กลุ่ม Defensive Stock ที่มี Div. yield ดี  (TTW, BCPG)

หุ้นแนะนำวันนี้

  • BCPG (ปิด 12.8 ซื้อ/เป้า 19.8) เป็นหุ้น Defensive ที่ Valuation ไม่แพงซื้อขายบน PE ต่ำเพียง 10 เท่าจ่ายปันผลสม่ำเสมอให้ Dividend yield ประมาณ 5-6% ต่อปี เทียบกับ PE เฉลี่ยของกลุ่มที่ 20-30 เท่าและ Dividend yield ประมาณ 2% นอกจากนี้ BCPG ยังมี Growth story จากจำนวน MW ที่เพิ่มขึ้น จากโครงการโรงไฟฟ้า Nam San 3A และ 3B ในเวียดนาม, โรงไฟฟ้าพลังงานลม Swan กำลังการผลิต 270MW ในลาว และโรงไฟฟ้า solar สี่แห่ง 75MW ในญี่ปุ่น
  • INTUCH (ปิด 49.5 ซื้อ/เป้า 79) ได้ Sentiment บวกจากมาตรการ work from home และ เคอร์ฟิวส์ หนุนประชาชนใช้มือถือและอินเตอร์เน็ตมากขึ้น ขณะที่หุ้น INTUCH ปัจจุบันยังไม่สะท้อนมูลค่าเงินลงทุน (NAV) ใน ADVANC และ THCOM โดยมี Discount จากมูลค่า NAV ถึง 35% สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ราคาจะ discount จาก NAV ประมาณ 20-25% และหากมองในด้านเงินปันผล INTUCH ยังให้ Dividend yield สูงกว่า ADVANC โดยปีนี้เราคาว่า INTUCH จะจ่ายปันผลประมาณ 3 บาทต่อหุ้น ให้ Dividend yield ประมาณ 6.1% สูงกว่า ADVANC ที่ให้ Dividend yield เพียง 3.8%

บทวิเคราะห์วันนี้

IRPC (ปิด 2.34 ซื้อ/เป้า 3.2), VGI (ปิด 5.7 ซื้อ/เป้า 8.6 เดิม 8.8)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (+) น้ำมันดิบ WTI พุ่งแรงกว่า 25% คาดหวัง สหรัฐ, ซาอุฯ และ รัสเซีย ร่วมมือกันลดกำลังการผลิต รักษาเสถียรภาพให้ตลาดน้ำมัน: ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นร้อนแรงทั้ง 3 ตลาด โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้นแรงกว่า 5 ดอลลาร์ (24.7%) ปิดที่ระดับ 25.32 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล (ระหว่างวันพุ่งขึ้นกว่า 7 ดอลลาร์ หรือ 36%) เนื่องจากนักลงทุนตอบรับข่าว โดนัล ทรัมป์ หารือกับผู้นำของซาอุฯ และ รัสเซีย เพื่อร่วมมือกันในการปรับลดกำลังการผลิตและยุติสงครามราคาที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดย ทรัมป์ คาดว่า ทั้งสองประเทศจะลดกำลังการผลิตประมาณ 10-15 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ผู้เชี่ยวชาญในตลาดน้ำมันมองว่าการลดการผลิตในระดับดังกล่าวมากเกินไป) ซาอุฯน่าจะลดกำลังการผลิตมาที่ระดับเดิมก่อนทำสงครามราคาคือที่ระดับ 9 ล้านบาร์เรลต่อวัน ราคาน้ำมันดิบที่พุ่งแรงส่งผลบวกโดยตรงต่อทิศทางผลประกอบการและ Sentiment การลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจน้ำมัน นำโดย PTTEP และ PTT รวมถึงกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรฯ (TOP, SPRC, ESSO,, PTTGC, IRPC และ IVL)
  • (-) ผู้ติดเชื้อ Covid-19 ทั่วโลกพุ่งเกินระดับ 1 ล้านคน, จำนวนผู้ว่างงานในสหรัฐพุ่งเกิน 6 ล้านคนในสัปดาห์เดียว: แม้วานนี้ทั่วโลกจะพุ่งความสนใจไปที่ตลาดน้ำมัน แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ยังไม่สามารถไว้วางใจได้ โดยเฉพาะล่าสุดมีจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกมากกว่า 1 ล้านคน ขณะที่เยอรมนีมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็น 8.4 หมื่นคนแซงจีนขึ้นอันดับ 4 และที่มากไปกว่านั้นคือผลกระทบที่กำลังตามมาโดยเฉพาะภาคแรงงานซึ่งวานนี้สหรัฐเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (ตกงาน) เพิ่มขึ้นถึง 6.6 ล้านคนในสัปดาห์ที่ผ่านมาหรือเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจาก 3.3 ล้านคนในสัปดาห์ก่อน เราเชื่อว่าปัจจัยนี้จะยังเป็นปัจจัยลบที่จะสร้างกดดันและสร้างความผันผวนให้กับตลาดต่อไปจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะคลี่คลายลง
  • (+) รัฐบาลประกาศเคอร์ฟิวคาดควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส Covid ในไทยได้เร็วขึ้น และวันนี้ลุ้นประชุม ครม.นัดพิเศษอนุมัตมาตรการกระตุ้นระยะที่ 3-4: วานนี้นายกฯประกาศมาตรการเคอร์ฟิวทั่วประเทศโดยห้ามประชาชนออกจากบ้านตั้งแต่เวลา 4 ทุ่ม ถึง ตี 4 เริ่มบังคับใช้วันนี้ (3 เม.ย.) เรามีมุมมองเป็นบวกกับข่าวดังกล่าวแม้มาตรการนี้จะจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนแต่เป็นมาตรการที่เป็นไปเพื่อควบคลุมการแพร่ระบาดซึ่งคาดว่ามาตรการนี้จะทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อในไทยค่อยๆลดลงในระยะถัดไป ส่วนวันนี้ติดตามการประชุม ครม.นัดพิเศษ คาดว่าที่ประชุมจะมีการหารือถึงการออกมาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 3-4 รวมไปถึงแนวทางการจัดหางบประมาณ อาทิ การออก พ.ร.บ..โอนงบจากหน่วยงานต่างๆ และ การออก พ.ร.ก.กู้เงินฉุกเฉิน เบื้องต้นหากมาตรการกระตุ้นมีขนาดที่ใหญ่พอ 7-10% ของ GDP น่าจะทำให้ตลาดตอบรับในทางบวกและหนุนให้ดัชนีปรับตัวขึ้นต่อได้ในสัปดาห์ถัดไป