ภูเก็ตปิดสถานบันเทิง-นวด 14 วัน ให้ผู้ประกอบการยื่นทบทวนคำสั่งได้

ภูเก็ตปิดสถานบันเทิง-นวด 14 วัน ให้ผู้ประกอบการยื่นทบทวนคำสั่งได้

บอร์ดโรคติดต่อภูเก็ต เห็นชอบปิดสถานบันเทิง-นวด 18-31 มีนาคมนี้เช่นเดียวกับกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ยับยั้งโควิด-19ระบาดภายในประเทศ หากผู้ประกอบการไม่เห็นด้วยยื่นเรื่องให้ทบทวนได้

วานนี้ (17 มี.ค.63) ที่ห้องประชุมคอซิมบี้ ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดภูเก็ต ครั้งที่ 5/2563 เพื่อหารือและวางแนวทางในการดำเนินการการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิค-19 ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ตลอดจนพิจารณามาตรการเร่งด่วนในการป้องกันวิกฤตการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิค-19 ตามที่รัฐบาลกำหนด เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว

โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการเข้าร่วมประชุม อาทิ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ปลัดจังหวัดภูเก็ต นายแพทย์สาธารณสุข ผู้อำนวยการโรงพยาบาลต่างๆ ด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศ ด่านตรวจคนเข้าเมือง ท่าอากาศยานภูเก็ต เป็นต้น โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง

ภายหลังการประชุม นายภัคพงศ์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า จากการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดภูเก็ต ซึ่งได้มีการพิจารณามาตรการเร่งด่วนในการป้องกันวิกฤตการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามมติคณะรัฐมนตรี ในประเด็นต่างๆ ในวันนี้ (17 มี.ค.) โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามที่คณะรัฐมนตรีดังกล่าว รวมไปถึงในประเด็นของการปิดผับ สถานบันเทิง สถานบริการ นวดแผนโบราณ และโรงมหรสพเช่นเดียวกับกรุงเทพฯและปริมณฑล ในระหว่างวันที่ 18-31 มีนาคม 2563 นี้ เป็นการปิดชั่วคราว 14 วัน เพื่อเป็นการยับยั้งการระบาดภายในประเทศ

ทั้งนี้ จะมีการส่งประกาศของคณะกรรมการฯ ไปยังผู้ประกอบการต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ต ที่เข้าข่ายตามพระราชบัญญัติสถานบริการ และสถานประกอบการที่มีการประกอบการคล้ายสถานบริการ ซึ่งมีจำนวนประมาณ 300 แห่ง ส่วนของมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบซึ่งไม่เฉพาะจังหวัดภูเก็ตเท่านั้น ซึ่งก็จะใช้มาตรการเดียวกันทั่วประเทศตามที่รัฐบาลกำหนด

“ หากมีผู้ประกอบการขอให้มีการทบทวนการสั่งปิดดังกล่าวนั้น สามารถที่ทบทวนคำสั่งปกครองดังกล่าวได้ แต่ต้องมีเหตุผลความจำเป็นที่คณะกรรมการฯจะพิจารณา เนื่องจาก พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ได้ให้อำนาจผู้ว่าฯ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อประจำจังหวัดและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง กรณีที่ผู้ประกอบการไม่ปฏิบัติตามก็จะมีโทษตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558”

นายภัคพงศ์ กล่าวถึงมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดโควิค-19 นอกเหนือจากการปิดสถานบันเทิงต่างๆ ว่า ได้มีการคัดกรองทั้งในส่วนของท่าอากาศยานภูเก็ตและท่าเทียบเรือต่างๆ ซึ่งดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนกรณีที่ภาคเอกชน 9 องค์กร ได้มีการเรียกร้องให้สกัดนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศติดต่ออันตรายร้ายแรง 4 ประเทศและ 2 เมือง เสี่ยงการแพร่ระบาดเป็นเวลา 30 วันนั้น ในประเด็นนี้ทางรัฐบาลได้มีการออกมาตรการมาแล้ว เช่น การยกเลิก Visa on Arrival และให้ไปยื่นเรื่องที่สถานทูตหรือสถานกงสุล,ต้องมีใบรับรองแพทย์,จะต้องมีประกันสุขภาพไม่น้อยกว่า 100,000 USD เป็นต้น ซึ่งเป็นการคัดกรองผู้ที่จะเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยอยู่แล้ว ซึ่งเป็นอำนาจของส่วนกลางที่ทำเหมือนกันทั้งหมด ไม่ใช่อำนาจของคณะกรรมการโรคติดต่อ ฯ เนื่องจากจะต้องไปเกี่ยวข้องกับกฎหมายระหว่างประเทศด้วย

ส่วนกรณีที่มีการสอบถามเกี่ยวกับการจะปิดเมืองเหมือนกับหลายๆ จังหวัดที่มีการออกมาตรการมาแล้วนั้น

นายภัคพงศ์ กล่าวว่า คำว่าปิดเมืองนั้นหมายถึงว่าเขาทำการคัดกรองตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งทางจังหวัดภูเก็ตได้มีการดำเนินการมาตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีการคัดกรองผู้ที่จะเดินทางเข้ามา ไม่ได้หมายความว่าจะมีการชัตดาวน์โดยที่ทุกคนไม่สามารถเข้าออกได้ ส่วนมาตรการในการเชฟภูเก็ต อยากให้ย้อนไปดูว่านับจากที่มีข่าวเรื่องของสถานการณ์ดังกล่าว ภูเก็ตเป็นจังหวัดแรกๆ ที่มีการคัดกรองนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากประเทศจีนตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม 2563 จำนวนผู้ถูกคัดกรองมีตัวเลขชัดเจน หรือการตั้งศูนย์ EOC ภูเก็ต ก็มีการจัดตั้งมาก่อนที่จะมีการสั่งการจากกระทรวงสาธารณสุข เช่นเดียวกับการตั้งศูนย์ในการช่วยเหลือนักท่องเที่ยว

ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันว่า หน่วยงานราชการของจังหวัดภูเก็ตมีความตระหนักในการป้องกันไม่ให้โรคมีการขยายตัว แต่ต้องขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนในการรับผิดชอบดูแลทั้งสุขภาพตัวเองและเฝ้าระวังผู้คนที่อยู่รอบข้าง ครอบรัว แนะนำสิ่งที่เป็นประโยชน์ และฝากทุกท่านในการโพสต์หรือแชร์ข้อความที่ไม่ผ่านการกลั่นกรองต้องระมัดระวัง เพราะจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น ส่วนกรณีที่มีการเรียกร้องให้เปิดเผยตัวเลขผู้ป่วยหรือผู้เฝ้าระวังนั้นทางจังหวัดไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและมีข้อสั่งการมาแล้ว

ส่วนกรณีที่มีภาคเอกชนเรียกร้องให้มีการจัดตั้งศูนย์การบริหารจัดการสถานการณ์ในภาวะวิกฤต นายภัคพงศ์ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ยังไม่ได้ดูรายละเอียดในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากที่ผ่านมาได้เดินทางไปพบคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอเรื่องงบประมาณการก่อสร้างศาลากลางหลังใหม่ แต่หากฟังจากข้อมูลทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามหลักการบริหารราชการแผ่นดิน

ภาพ-opsmoac.go.th