'โคโรน่า' พ่นพิษเศรษฐกิจไทยปี 63 เข้าขั้นวิกฤติ พาณิชย์ เร่งกู้ส่งออก
การส่งออกเป็นอีกเครื่องยนต์เศรษฐกิจหนึ่ง ที่ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่ หรือ โควิด-19 เมื่อการส่งออกเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงรุนแรงใหม่อย่างโรคระบาดนี้ ก็มีความน่าเป็นห่วงว่า เศรษฐกิจไทยปี 2563 จะเข้าขั้นวิกฤติหรือไม่
ในการประชุมวอร์รูมระหว่างกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ทุกกรมในกระทรวงพาณิชย์ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย คณะกรรมการ กกร. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาพันธ์ SME สมาคมธุรกิจไทยท่องเที่ยว สมาคมโรงแรมไทย และสถาบันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอุตสาหกรรมการผลิต
บุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมฯ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์นำเสนอผลกระทบใน 4 ด้านหลัก คือ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกที่เกิดจากการชะลอตัวของจีน, ผลกระทบด้าน supply chain ในภาคอุตสาหกรรม ,ผลกระทบด้านโลจิสติกส์ต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทย และ ผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจการค้าในประเทศ
สำหรับการส่งออกนั้น ที่ประชุมเน้นไปที่การค้าขายกับประเทศจีนเป็นหลัก เนื่องจากเป็นตลาดสำคัญที่ได้รับผลกระทบโดยตรง โดยต่างเห็นว่า ในระยะสั้นมีการ disrupt จากปัญหาการขนส่งและมาตรการจำกัดต่าง ๆ ของจีน
อย่างไรก็ตาม ในระยะต่อไปน่าจะมีโอกาสในการกลับมาส่งออกสินค้าไปจีนเพิ่มขึ้นจากความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคของจีนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 คลี่คลาย ซึ่งภาครัฐควรเตรียมตัวดูจุดที่อาจเป็นปัญหาได้ เช่น คอนเทนเนอร์ขนส่งอาจไม่เพียงพอ ช่องทางการส่งออกที่อาจต้องขยายทางอากาศ การขอผ่อนผันกฎระเบียบบางอย่างกันจีนในระยะนี้ เป็นต้น
สำหรับผลการประชุมจะนำเสนอต่อนายจุริทร์ ลักษณะวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ พิจารณาต่อไป เนื่องจากหลายมาตรการจำเป็นต้องมีการทำงานแบบบูรณาการกับหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง และน่าจะมีการประชุมวอร์รูมอีกเป็นระยะ ๆ เพื่อติดตามความเปลี่ยนแปลงและเสนอความเห็นเพิ่มเติม
ทั้งนี้ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ได้ทำรายงานผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ต่อการท่องเที่ยวและการส่งออกของไทย ระบุว่า สถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 เทียบกับการเกิดโรคระบาดซาร์สในอดีต ปี 2545-2546 พบว่า ในช่วงนั้นกระทบท่องเที่ยวแต่ไม่กระทบต่อการส่งออกของไทย เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจจีน และเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ดี โดยมีปัจจัยการจากการขยายตัวของการลงทุน การบริโภคภาคเอกชนและการส่งออก
สำหรับผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะได้รับจากการชะลอตัวของภาคการผลิตจีน ที่จะส่งผลกระทบต่อระบบห่วงโซ่อุปทานของโลก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์เทคโนโลยีชั้นสูง
ขณะที่ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์นั้นจีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทยโดยเฉพาะเมืองอูฮั่น มณฑลหูเป่ย ต้นตอการระบาดของ โควิด-19 ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิดยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ที่สำคัญของจีน จากสถานการณ์การระบาดและจีนประกาศปิดเมืองทำให้สายการเดินเรือระหว่างจีนและประเทศอื่นๆ ปิดการเดินเรือชั่วคราว ประกอบกับโรงงานผลิตรถยนต์ในมณฑลหู่เป่ย และเมืองกว่างโจวที่ปิดทำการผลิตชั่วคราว ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนวัตถุดิบในห่วงโซ่อุปทานการผลิตของอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ในหลายๆ ประเทศรวมถึงประเทศไทย
ส่วนผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตร โดยสินค้าเกษตรที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ เช่น มันสำปะหลัง ข้าว ลำไยสด เนื่องจากมีการส่งออกในช่วงต้นปี และมีการปิดเมืองและปิดท่าเรือหลายแห่งซึ่งปัญหาในช่วงนี้เกิดจาการขนส่งไม่ได้เกิดจากอุปสงค์การนำเข้าสินค้าที่ลดลง
กัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า สินค้าที่ได้รับผลกระทบ คือ ผัก ผลไม้ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องคอมพิวเตอร์รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ไม้ยางพารา กุ้ง ที่ไม่สามารถนำเข้า ถึงแม้ว่ารัฐบาลจีนจะเริ่มให้โรงงานอุตสาหกรรมเปิดการผลิตตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ.แต่ความเป็นจริงพนักงานสามารถกลับมาทำงานเต็มที่เพียงแค่บางส่วนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงเท่านั้น
คาดว่า ผลกระทบของ โควิด-19 ในแต่ละอุตสาหกรรมอาจจะต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูกิจการและกลับมาผลิตได้เต็มกำลังอีก 6 เดือนหรืออาจมากกว่านั้น นอกจากนี้ในส่วนการนำเข้าวัตถุดิบจากจีนในบางอุตสาหกรรมก็ต้องหยุดชะงักไปหมดทำให้ไม่มีวัตถุดิบสำหรับการผลิตและส่งออกไปยังตลาดอื่นทดแทน
ทางสรท.มีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลคือ ด้านมาตรการช่วยเหลือทางด้านการเงิน เช่น ขอการสนับสนุนพักการชำระหนี้ธนาคารและดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมเป็นระยะเวลา 12 เดือน ขอระยะเวลาการชำระคืนเงินสินเชื่อเพื่อการส่งออกเป็นเวลา 12 เดือน เป็นต้น ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ขอจัดให้มี Call Center เพื่อเป็นช่องทางในการติดต่อสอบถามและรายงานสถานการณ์ปัจจุบัน เร่งรัดและเพิ่มความถี่ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสในการหาตลาดทดแทนอื่น