ลุ้นรีบาวด์
ดัชนีวานนี้ปิดปรับตัวลงแรง อ่อนแอกว่าตลาดหุ้นภูมิภาค ขณะที่ตลาดภายในประเทศยังไร้ปัจจัยใหม่หนุน และเกิดแรงเทขายในหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า
ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดที่ 1,505.54 จุด (-8.14 จุด) Volume 6.9 หมื่นลบ. ต่างชาติ +2,479.55 ลบ. TFEX Net +4,333 สัญญา
ปัจจัยบวก / ปัจจัยลบ
+ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก 115.84 จุด +0.40% จากกระแสคาดการณ์ว่าจีนจะออกมาตรการกระตุ้นศก.เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งปัจจัยหนุนจากรายงานการประชุมเฟดที่ยังคงมีมุมมองบวกต่อศก.สหรัฐ
+ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดบวก 1.24 ดอลลาร์ +2.4% ปิดที่ 53.29 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19ในจีนเริ่มชะลอตัวและข่าวสหรัฐออกมาตรการสกัดการส่งออกน้ำมันของเวเนซุเอลา
+สหรัฐเผยดัชนี PPI พุ่ง 0.5% ในเดือนม.ค. สูงสุดรอบกว่า 1 ปี
+ก.คลังเตรียมชงครม.เคาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ เพิ่มการใช้จ่ายหมุนเงินเข้าระบบพร้อมอัดมาตรการอุ้มภาคการท่องเที่ยว
+ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศคาดการจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับ 18 ประเทศคู่ตกลงหนุนมูลค่าการค้าแตะ 3 แสนล้านเหรียญ คิดเป็นกว่า 2 ใน 3 หรือ 63% ของมูลค่าการค้าไทยกับโลก
-ตลาดบอนด์สหรัฐเกิด inverted yield curve วันที่ 2 ส่งสัญญาณศก.ถดถอย
+/-ปธ.เฟดมินเนอาโพลิสคาดเฟดตรึงดบ.ถึงกลางปีก่อนปรับลดลง มองโควิด-19 เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อสหรัฐ
- IMF ชี้ไวรัสโควิด-19 เป็นความไม่แน่นอนที่กำลังกดดันศก.โลกมากที่สุด
-สรท.คาดส่งออกไทยไปจีน Q1/63 หดตัว 1% สูญกว่า 2,500 ล้านดอลล์ซึ่งเป็นผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาด
-Fund Flow ต่างชาติมีสถานะขาย YTD 27,602.33 ลบ. ค่าเงินบาท 31.20 บาท/US
*จับตาสหรัฐเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ดัชนีการผลิตเดือนก.พ. ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนม.ค. และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์
แนวโน้มตลาดหุ้นไทย
คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาส Rebound ตามทิศทางตลาดโลก โดยตลาดคาดการณ์ว่าจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในวันนี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ประกอบกับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น 2.4% คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,500-1,520 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
· หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า (TU CPF)
· หุ้นได้ประโยชน์จากกการเบิกจ่ายงบประมาณ (CK STEC SEAFCO PYLON)
· หุ้นได้รับประโยชน์จากการประมูล 5G (SAMART INSET ITEL ALT )
· MSCI เพิ่มน้ำหนักลงทุน (BDMS BTS)
หุ้นรายงานพิเศษ
CRC ซื้อขายวันแรก ที่ราคา IPO 42 บาท
- ดำเนินธุรกิจค้าปลีกในไทย เวียดนาม และอิตาลี โดยแบ่งรายได้ออกเป็น 3 กลุ่ม 1) ธุรกิจ Fashion ภายใต้แบรนด์ Central, Robinson, CMG, Supersport และ Rinascente (อิตาลี) มีสัดส่วนรายได้ 36% 2) ธุรกิจ Hardline ภายใต้แบรนด์ Powerbuy ไทวัสดุ และ Nguyenkim(เวียดนาม) มีสัดส่วนรายได้ 21% และ 3) ธุรกิจ Food ภายใต้แบรนด์ TOPS, Familymart, Central food hall, BigC(เวียดนาม) และ Lanchi(เวียดนาม) มีสัดส่วนรายได้ 43%
- รายได้ปี 2016-2018 เติบโตจาก 2.1 แสนลบ.สู่ 2.4 แสนลบ. หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 6.9% ขณะที่กำไรปกติ(ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างภายในกลุ่ม)เติบโตจาก 7.2 พันลบ.สู่ 8.5 พันลบ. หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 9.1% โดยธุรกิจที่เติบโตโดดเด่นคือ BigC(เวียดนาม) Rinascente(อิตาลี) และธุรกิจ Food(ไทย)
- CRC มี Green shoe option 1 ล้านหุ้นโดยมีช่วงเวลา 30 วันหลังจากเข้าจดทะเบียน (ถึงวันที่ 21 มี.ค. 63) และเตรียมเข้าจดทะเทียนใน SET50 ภายใน 3 วันทำการ (ภายในวันที่ 26 ก.พ. 63) เนื่องจากมี Market capitalization ติด 1 ใน 15 อันดับแรก (คาดว่าหุ้นที่มีโอกาสออกจาก SET 50 BPP WHA และ BANPU)
- ราคา IPO ของ CRC ที่ 42 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Forward PE Ratio ที่ 26 เท่า (อ้างอิงจากการตอบคำถามของผู้บริหารในงาน IPO Roadshow)
หุ้นมีข่าว
· TASCO Analyst Meeting (Bloomberg Consensus 24.82 บาท) : Wait & See
· +/- บริษัทรายงานกำไรปกติงวด 4Q19 เท่ากับ 542 ล้านบาท ลดลง -16.9%QoQ ตามอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงเล็กน้อยสู่ระดับ 10.6% จาก 11.4% ใน 3Q19 ตามการผันผวนของราคาวัตถุดิบ ขณะที่รายได้ยังคงทรงตัว QoQ อย่างไรก็ตามหากเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน กำไรยังคงเติบโตโดดเด่น +914%YoY เนื่องจากปีก่อนบริษัทประสบปัญหาเพลิงไหม้ถังน้ำมันดิบตั้งแต่ช่วง 3Q19 จึงกระทบต่อผลการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญ
· ขณะที่ผลการดำเนินงานทั้งปี 19 มีกำไรปกติรวม 2,884 ล้านบาท เติบโต +18%YoY โดยมีสาเหตุหลักจากปริมาณการขายในตลาดต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับแรงหนุนจากสเปรดยางมะตอยที่ปรับตัวดีขึ้น
· - ผลประกอบการช่วง 1Q20 ยังถูกแรงกดดันจากยอดขายในประเทศที่คาดว่าจะชะลอตัวตามงบประมาณรายจ่ายปี 63 ที่ล่าช้า ส่วนตลาดต่างประเทศความต้องการจากจีนหายไปจากผลกระทบของการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อย่างไรก็ตามผู้บริหารคาดว่าผลประกอบการจะกลับมาเติบโตอีกครั้งหลังเบิกจ่ายงบประมาณ และเมื่อสถานการณ์ในจีนคลี่คลายลง จะส่งผลให้จีนกลับมาเร่งการก่อสร้างอีกครั้ง พร้อมตั้งเป้าปริมาณขายปี 20 ใกล้เคียงกับปี 19 ที่ระดับ 2.1-2.2 ล้านตัน
· ความเห็น : เราคาดว่าผลประกอบการของ TASCO จะชะลอตัวลงในช่วงครึ่งแรกของปี และเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นหลังเบิกจ่ายงบประมาณ และสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ดีขึ้น เราจึงแนะนำให้ Wait&See
· (+) ADVANC (Bloomberg Consensus 245.17 บาท) วางงบลงทุน 10,000-15,000 ล้านบาท ขยายโครงข่าย 5G ในช่วง 1 ปี พร้อมเปิดแผนยุทธศาสตร์ 5G ลุยให้บริการบนมือถือ-ขยายการใช้งานสู่ภาคอุตสาหกรรม ลั่นถือครองคลื่นมากที่สุด 1420 MHz รักษาความเป็นผู้นำตลาดทั้งระยะสั้นและระยะยาว ฟาก “ฟิทช์” ชี้ ADVANC ลงทุน 5G ไม่กระทบอันดับเครดิต (ที่มา ข่าวหุ้น)
· (+/-) BAM (ราคาเหมาะสม 27.00 บาท) ผู้บริหาร BAM ยืนยัน ฟิทช์ เรทติ้งส์ ลดเครดิตเหลือ “BBB+” จาก “AA-” ไม่กระทบฐานะการเงินหรือผลประกอบการของบริษัทที่ยังเติบโตต่อเนื่องมองว่าหลังจาก BAM ไม่เป็นของรัฐมีความคล่องตัวกว่า ที่ผ่านมาเติบโตด้วยตัวเอง ไม่มีเงินทุนรัฐหนุน สามารถระดมทุนได้ ด้านโบรกฯ ชี้กระทบระยะสั้น (ที่มา ข่าวหุ้น)
· (+/-) TRUE (ราคาเหมาะสม 4.62 บาท) เข้าพบกสทช.ชี้แจงกรณีเครือข่ายล่มบางพื้นที่เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 63 เวลา 15.55 น. พร้อมชดเชยลูกค้าให้โทร.ฟรี 100 นาที และใช้อินเทอร์เน็ตฟรี 500 Mbps เป็นเวลา 24 ชั่วโมง เตรียมส่ง SMS แจ้งลูกค้าวันที่ 21 ก.พ.นี้ (ที่มา ข่าวหุ้น)
· (+) SHR (Bloomberg Consensus - บาท) เผยขายหุ้น 50% ในโครงการ CROSSROADS เกาะ 3 ให้แก่ EWD นักลงทุนจากประเทศเมียนมา มูลค่า 16.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 502 ล้านบาท มั่นใจได้พันธมิตรที่แข็งแกร่ง พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผน เล็งเปิดให้บริการรีสอร์ตแห่งใหม่ ในปี 2565 (ที่มา ทันหุ้น)
· (+) BCPG (Bloomberg Consensus 20.24 บาท) เดินหน้าขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียน เจาะกลุ่มประเทศ CLMV พร้อมจับมือพันธมิตรก่อสร้างลุยกิจการระบบสายส่งกระแสไฟฟ้าเวียดนาม รองรับขายไฟให้การไฟฟ้าเวียดนาม 500 เมกะวัตต์ ในอนาคต ใจป้ำจ่ายปันผลอีก 0.16 บาท ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 3 มีนาคม 2563 (ที่มา ทันหุ้น)
- (+) EPG (Bloomberg Consensus 7.66 บาท) ยิ้ม กลุ่มทุนใหม่ "เกรท วอลล์" ฮุบ "GM" ในไทย หนุนออเดอร์อนาคตสดใส ระบุเป็นคู่ค้าเดิมของธุรกิจอยู่แล้ว พร้อมยืดอกรับหั่นเป้ารายได้งวดปีนี้เหลือใกล้เคียงปีก่อน เหตุเศรษฐกิจโลกชะลอ-ไวรัสโควิด-19 ส่วนราคาน้ำมันขาลงช่วยต้นทุนลด (ที่มา ทันหุ้น)
- (+) GPSC (Bloomberg Consensus 89.45 บาท) ทุ่ม 1,100 ลบ.สร้างโรงงานแบตเตอรี่ Semi Solid เริ่มผลิตเฟสแรก 30 MWh ปลายปี 63 (ที่มา อินโฟเควสท์)
- (+) PTTEP (Bloomberg Consensus 142.42 บาท) ขยายการลงทุนในโอมานหลังได้รับสิทธิสำรวจปิโตรเลียมแปลง 12 ร่วมกับกลุ่มโททาล (ที่มา อินโฟเควสท์)