ดราม่า 'ทรัมป์-เปโลซี' สะท้อนความแตกแยกการเมืองสหรัฐ

ดราม่า 'ทรัมป์-เปโลซี' สะท้อนความแตกแยกการเมืองสหรัฐ

เผยดราม่า ทรัมป์กับเปโลซี ช่วงแถลงนโยบายประจำปีของประธานาธิบดีสหรัฐ ที่สะท้อนถึงความแตกแยกของสหรัฐ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับการแถลงนโยบายประจำปีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันอังคาร (4 ก.พ.) ตามเวลาท้องถิ่นซึ่งปีนี้เป็นปีสุดท้าย แต่แสดงถึงความแตกแยกของสหรัฐได้อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อพรรคเดโมแครตประท้วงการโอ้อวดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก่อนที่แนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรจะฉีกสำเนาถ้อยแถลงเมื่อทรัมป์พูดจบ เขาใช้เวลา 78 นาทีและวางกรอบนโยบายการบริหารของตน “ภายในระยะเวลาอีก 4 ปีนับจากนี้” ดูแลเป็นการแอบหาเสียงเลือกตั้งสมัยที่ 2 กลายๆ 

ท่าทีของประธานสภาบอกชัดถึงบรรยากาศระอุในสภา ที่ปกติการแถลงนโยบายประจำปีจะเป็นช่วงเวลาสงบศึกทางการเมือง แต่ปีนี้กลับสะท้อนถึงสงครามที่ระอุขึ้นก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือน พ.ย.

วินาทีดราม่าเริ่มตั้งแต่  ทรัมป์ไม่สนใจธรรมเนียมในอดีต ไม่ยอมจับมือกับเปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรผู้ดูแลความพยายามถอดถอนทรัมป์ (อิมพีชเมนท์) ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีในข้อหาใช้อำนาจโดยมิชอบ และขัดขวางการทำงานของสภาคองเกรส

เปโลซียื่นมือมาให้ทรัมป์จับแต่ทรัมป์เมิน ปล่อยให้เธอเก้อ

ระหว่างการแถลงนโยบายที่ทรัมป์ตั้งชื่อว่า “อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” เขากล่าวถึงความสำเร็จมากมาย สมาชิกพรรครีพับลิกันปรบมือกึกก้อง แต่เดโมแครตทำตรงข้ามกลับส่งเสียงโห่ หลายคนเดินออกจากห้องประชุม

ถ้อยแถลงส่วนมากทรัมป์พูดถึงนโยบายเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จของเขา และนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน”

เราขจัดขวัญกำลังใจอันตกต่ำของอเมริกา เราปฏิเสธโชคร้ายของประเทศ การจ้างงานเพิ่ม รายได้เพิ่ม ความยากจนลด อาชญากรรมลด รายได้พุ่ง ” ทรัมป์กล่าวและว่า นโยบายลดกฎระเบียบและลดภาษีของเขาที่ถูกฝ่ายตรงข้ามวิจารณ์ว่า ทำลายสิ่งแวดล้อม เอื้อประโยชน์ให้คนรวยมากกว่าคนจน ทำให้เศรษฐกิจประสบความสำเร็จอย่างไม่มีใครเทียบได้

นโยบายนานัปการ เช่น ข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ “ยูเอสเอ็มซีเอ” ข้อตกลงการค้ากับจีน การทุ่มงบประมาณกลาโหม และมาตรการหยุดยั้งการลักลอบเข้าเมืองอย่างที่ไม่เคยมีใครมาก่อน และข้อเสนอยุติการทำสงครามของสหรัฐในตะวันออกกลาง คือตัวอย่างความสำเร็จตามที่เขาได้หาเสียงไว้

วินาทีดราม่ารอบ 2 เกิดขึ้นตอนที่ทรัมป์เพิ่งจบและยังยืนอยู่บนโพเดียม เปโลซีที่ยืนอยู่เบื้องหลังยกสำเนาถ้อยแถลงของทรัมป์ขึ้นมาฉีก ภาพนี้เห็นจะๆ ผ่านการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ 

“นี่เป็นการกระทำสุภาพที่สุดแล้ว เทียบกับการทำอย่างอื่น” เปโลซีกล่าวกับผู้สื่อข่าวในภายหลัง

จะว่าไปแล้วตอนเริ่มต้นแถลงนโยบายบรรยากาศดุเดือดมากกว่าตอนจบ 

“ประธานาธิบดีไร้รสนิยม เขาควรจับมือกับประธานสภา” จิม แมคกอเวิร์น ส.ส.พรรคเดโมแครตให้ความเห็น พร้อมตำหนิว่า การแถลงนโยบายเต็มไปด้วยการหาเสียงที่เต็มไปด้วยความมืดมนและแตกแยก “ผมคิดว่าประธานสภาทำถูกแล้วที่ฉีกเอกสาร”

ความตึงเครียดดังกล่าวเป็นผลจากกระบวนการสอบสวนเพืื่อนำไปสู่การอิมพีชเมนท์ ที่สภาผู้แทนราษฎรนำโดยพรรคเดโมแครตทำมาหลายเดือน และความบาดหมางระหว่างประธานาธิบดีวัย 73 ปี กับประธานสภา วัย 79 ปีไม่ใช่เรื่องใหม่ ก่อนหน้านี้เขาเคยทวีตข้อความเรียกเธอว่า “แนนซีประสาท” “แนนซีเสียสติ” มาแล้วตอนเริ่มกระบวนการอิมพีชเมนท์

แต่เกือบจะแน่นอนแล้วว่าอย่างไรเสียทรัมป์ก็ต้องรอดในชั้นวุฒิสภาที่รีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ซึ่งถ้อยแถลงของทรัมป์ก็ไม่ได้แตะเรื่อง “อิมพีชเมนท์” เลย

สัปดาห์นี้น่าจะสัปดาห์ที่มืดมนที่สุดของรัฐบาลทรัมป์ ประธานาธิบดีคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์สหรัฐที่ถูกสอบสวนเพื่อถอดถอน คำตอบอยู่ที่วุฒิสภาในวันพุธ (5 ก.พ.) ตามเวลาท้องถิ่น แต่เมื่อได้รับการรับรองว่า พรรครีพับลิกันจะช่วยให้เขารอดแน่นอน ทรัมป์ก็มั่นอกมั่นใจว่าสามารถเดินหน้าหาเสียงเลือกตั้งสมัยที่ 2 ทั้งยังทับถมพรรคเดโมแครตที่ชะลอนับผลไพรมารีโหวตในพรรคไอโอวา ว่านั่นคือข้อพิสูจน์ถึงความไร้ประสิทธิภาพของพรรค

เท่านั้นยังไม่พอในวันแถลงนโยบาย ทรัมป์ยังได้ข่าวดีมาเสริม แกลลัพโพลระบุว่า คะแนนนิยมของเขาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 49%

นอกจากนี้แขกที่ทรัมป์เชิญมาร่วมในงานแถลงข่าวก็สะท้อนถึงจุดยืนทางการเมืองของเขาว่า ยังคงยึดมั่นฐานเสียงผู้ภักดีไว้อย่างเหนียวแน่น เช่น เจ้าหน้าที่ตระเวนชายแดนอาวุโส หญิงที่น้องชายถูกคนลักลอบเข้าเมืองฆาตกรรมเมื่อปี 2561 รวมถึงฮวน กวายโด ผู้นำฝ่ายค้านเวเนซุเอลา ที่สหรัฐยอมรับในฐานะประธานาธิบดีรักษาการ เพื่อแสดงให้เห็นแรงสนับสนุนจากสหรัฐต่อความพยายามโค่นประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร