ใกล้จะเริ่มไต่บันได ขาขึ้นหรือยัง?

ใกล้จะเริ่มไต่บันได ขาขึ้นหรือยัง?

สถานการณ์ในปัจจุบัน "ดัชนีหุ้นไทย" ใกล้จะไต่บันไดเป็นขาขึ้นหรือยัง?

1.ดัชนีดาวโจนส์ หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวแถลงการณ์ต่อชาวอเมริกัน ยืนยันจะยังไม่ใช้กองกำลังทหารเพื่อทำสงครามกับอิหร่าน แต่จะกดดันอิหร่านทางการคว่ำบาตรและกดดันด้านเศรษฐกิจแทน และการเตรียมเซ็นลงนามข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐและจีนเฟสแรก และ เฟสต่อๆไป, ส่งผลให้ได้ผลเชิงบวกต่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะต้องทำทุกวิธีทางวิธีการเพื่อที่จะได้เป็นประธานาธิบดีอีกสมัย ในการเลือกตั้ง ภายใน พฤศจิกายน 2563 นี้,

หากสถานการณ์ต่างๆ มีความก้าวหน้าเชิงบวก ดัชนีดาวโจนส์ มีโอกาสที่จะสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้เรื่อยๆ (All time high), หากทะลุผ่าน 30,000 จุดได้ มีโอกาสไปที่ 35,000 จุด ต่อไป, ยกเว้น สถาการณ์กลับเลวร้ายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาการค้ากับจีน ตกลงกันไม่ได้, เกิดสงคราม สหรัฐ - อิหร่าน เต็มรูปแบบ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกทันที, แต่จะได้ผลดีกับกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน, และปัจจัยใหม่ๆ คือ ข่าวโรคระบาดปอดอักเสบว่าจะสามารถหยุดยั้งได้หรือไม่, ดัชนีดาวโจนส์ (DJIA) 22-01-2563 ปิดที่29,186.27 จุด, ดัชนีดาวโจนส์ ยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นใหญ่ หากสามารถ ยืนเหนือ 29,000 จุด ถือว่า เป็นแนวรับที่ดี, และให้ติดตามการประชุม ECB ที่จะมีขึ้นในวันนี้ และการประชุมคณะกรรมการ FOMC (เฟด) ในสัปดาห์นี้

2.ราคาน้ำมัน (IQXWTI) หลังจากได้รับผลดีว่า ใกล้บรรลุข้อตกลงการค้า สหรัฐ-จีน ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ สร้างจุดสูงสุดใหม่ แต่ยังไม่ได้ปรับฐานเป็นเรื่องเป็นราวนัก, ส่วนราคาน้ำมัน หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวแถลงการณ์ต่อชาวอเมริกัน ยืนยันจะยังไม่ใช้กองกำลังทหารเพื่อทำสงครามกับอิหร่าน แต่จะกดดันอิหร่านทางการคว่ำบาตรและกดดันด้านเศรษฐกิจแทน, ตรงกันข้ามกับ ราคาน้ำมัน หลังไม่เกิดสงคราม สหรัฐ-อิหร่าน ราคาน้ำมันดิบ (WTI) ปรับฐานลงมาต่อเนื่อง หลังจาก ต้นปี ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดที่ 65.61 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจุบันโดนเทขายทำกำไรลงมา กรอบราคาของ WTI อยู่บริเวณที่ 55-65 ดอลลาร์/บาร์เรล

3.ตลาดภูมิภาคเช้านี้ส่วนใหญ่ติดลบค่อนข้างรุนแรง โดยตลาดหลักคือ ญี่ปุ่น-ฮ่องกง-จีน ปัญหาหลักยังอยู่ที่โรคระบาดปอดอักเสบที่ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด, ทิศทางของดัชนีหุ้นภูมิภาคเอเชีย ในช่วงนี้ อยู่ในระหว่างการปรับฐาน โดยทิศทางของกราฟยังถือว่าเป็นแบบบันไดขาขึ้น ให้ติดตาม โรคระบาดปอดอักเสบว่าจะสามารถหยุดยั้งได้หรือไม่, หากหยุดยั้งโรคระบาดปอดอักเสบได้ การพักฐานของดัชนีของภูมิภาค จะเป็นการพักฐานเพื่อขึ้นต่อ เพราะ ที่ดัชนีฯ ปรับตัวขึ้นมา จากข่าวการจะเซ็นสัญญาเฟส I ของสงครามการค้า สหรัฐ - จีน แต่พอมาเจอข่าวโรคระบาดทำให้ดัชนีราคาหุ้นปรับฐานลดลง ดังกล่าว, ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หลังจากผ่านพ้นเทศกาลตรุษจีน ซึ่งชาวจีนจำนวนหลายร้อยล้านคนจะเดินทางท่องเที่ยวทั้งภายในจีน และในต่างประเทศ เราจะเห็นภาพชัดขึ้นของการแพร่ระบาด ทั้งความรวดเร็วของการระบาด และจำนวนผู้เสียชีวิต

4. ค่าเงินบาท หลังจากที่แข็งค่ามาที่ระดับ 29.76 บาท/ดอลลาร์ ได้เริ่มอ่อนค่ามาที่ระดับ 30.51 บาท/ดอลลาร์ โดยมีแนวต้านสำคัญ EMA 200 วัน=30.71 บาท/ดอลลาร์ หลังจากเดือนตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทเริ่มเป็นขาลง โดยหลุด แนวรับ EMA 200 วันลงมา ยังไม่เคยตีทะลุผ่านขึ้นมาได้เลย หากผ่าน 30.71 บาท/ดอลลาร์ ขึ้นไปได้ ค่าเงินบาทจะเป็นขาขึ้น (อ่อนค่า) ซึ่งตามทฤษฎี มันจะตรงข้ามกับดัชนีราคาหุ้นไทย คือ หากค่าเงินบาทเป็นขาขึ้น=ดัชนีหุ้นไทย มีแนวโน้มลดลง, หากค่าเงินบาทเป็นขาลง=เงินทุนไหลเข้า=หุ้นไทย มีโอกาสเป็นขาขึ้น, ดังนั้น ต้องติดตามค่าเงินบาท พร้อมกับปัจจัยอื่นๆ ด้วย ทั้ง เศรษฐกิจ การเมืองทั้งในประเทศและต่างประเทศ หากมีแนวโน้มยังเป็นบวกอยู่ ดัชนีหุ้นไทย จะมีแรงซื้อ จากนักลงทุนสถาบันภายในประเทศและ ต่างชาติ

5.การเมืองไทย เรื่องพรบ. งบประมาณ หลังจากมีการเสียบบัตรแทนกันของ สส. ในการลงมติรับร่าง พ.ร.บ. พรบ. งบประมาณ ประจำปี 2563, ต้องติดตามความคืบหน้าเรื่องงบประมาณ ปี 63 จะมีการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความในกรณีของการเสียบบัตรแทนในการโหวต เรื่องพรบ. งบประมาณ ปี 63, และบ่งบอกถึง ความมั่นคงของการเมืองไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป ต้องติดตามกันให้ดีๆ เพราะจะส่งผลต่อภาพการลงทุน ความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพรัฐบาล เพราะสัมพันธ์โดยตรงกับความต่อเนื่องของการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจโดยรวม (Government Spending: G), ทางฝ่ายรัฐสภาจะมีการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้วินิจฉัยว่าขั้นตอนการตราร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 63 ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า ประเด็นดังกล่าวจะส่งผลให้การใช้จ่ายงบประมาณโดยเฉพาะงบลงทุนของภาครัฐหลายแสนล้านบาทต้องล่าช้าออกไปอีก เพราะขณะนี้ก็เข้าสู่ไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณแล้ว หากขับเคลื่อนไม่ได้ก็จะส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจ

6.Linear Regression สมการเส้นตรงของดัชนีหุ้นไทย (X100 วัน) ยังอยู่ในแนวโน้มขาลง อยู่ในกรอบ 1,530-1,600 จุด โดยประมาณ, เส้น Regression Cont X100 = 1,562 จุด, ความเชื่อมัน (CI) High 95% = 1,596.50 จุด, ความเชื่อมัน (CI) Low 95% = 1,528 จุด, ระยะสั้นๆ เริ่มเกิดสัญญาณเชิงบวก คือ Bullish Convergence บนเงื่อนไขว่า ดัชนีหุ้นไทยต้องผ่านแนวต้านสำคัญ ทางจิตวิทยาและ EMA 75 วัน=1,600 จุด โดยประมาณให้ได้เสียก่อน และจะยืนยันว่าจะเป็นขาขึ้นจริงๆ หากสามารถตีทะลุผ่าน EMA 200 วัน = 1,626-16,30 จุดให้ได้เสียก่อนและ 1,650 จุด ตามลำดับจึงจะเป็นแนวโน้มขาขึ้นที่สมบูรณ์, ในทางกลับกัน หากมองในกรอบแนวต้านด้านบน จะพบว่า ได้เกิด Bearish Convergence คือ ราคาหุ้นและ Indicators (MACD, 14RSI, Slow Stochastic) ยังไม่สามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ ได้เหมือนกัน ดังนั้น ช่วงนี้ ถือว่า ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่า ดัชนี จะตีผ่านแนวต้านสำคัญได้หรือไม่ คือ 1,600, 1,626- 16,30 และ 1,650 จุด ตามลำดับ, หากดัชนีสามารถตีผ่านแนวต้านเก่า 1,604.43 จุดได้ ก็มีโอกาสทำลายการเกิด Bearish Convergence ได้ทันที

7.สรุป ดัชนีหุ้นไทย จะเกิดสัญญาณขาขึ้นได้ หากสามารถกลับมายืนเหนือ 1,600, 1,630 จุด และ 1,650 จุด ได้ตามลำดับ เพราะดัชนีจะเกิดสัญญาณซื้อที่ชัดเจน คือ จะเกิดสัญญาณ Golden cross, Bullish Convergence คือ ดัชนีราคาหุ้นและ Indicators เกิดจุดต่ำยกสูงขึ้นไปทางเดียวกันและ เกิดสัญญาณซื้อ (Buy Signal) เมื่อไหร่ ดัชนีราคาหุ้น ยืนเหนือ เส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน (1,630 จุด) ได้ แรงซื้อของ สถาบันภายในประเทศและต่างชาติ จะหันกลับมาซื้อหุ้นไทยสุทธิ, หากยืนเหนือ 1,630-1,650 จุดได้ นักลงทุนที่มีหุ้นพื้นฐานดีๆ มีอนาคต ให้ถือต่อไป เพื่อลุ้นแนวต้านใหญ่ถัดไป ที่ 1,700-1,750 จุด ต่อไป, ปัจจุบัน สัญญาณซื้อของดัชนีหุ้นไทย SET Weekly ได้เริ่มเกิดแล้ว, Indicators เกิดสัญญาณซื้อแล้ว

8.หุ้นที่ทำการบ้านเพิ่มต่อเนื่อง คือ หุ้นที่จะเป็นกลุ่มนำตลาด โรงไฟฟ้าใหญ่ๆ , หุ้นกลุ่ม Energy Drink 2 ตัวหลัก CBG กำไร ไตรมาส 4/62 = 799 ล้านบาท โต 51%, OSP, กลุ่ม Non-Bank BAM, SAWAD, MTC JMT, กลุ่มอื่นๆ CPALL AOT TOA DOHOME ให้ทำการบ้านเพิ่มเติม ทั้ง กราฟเทคนิค, ปัจจัยพื้นฐานและ รูปแบบการดำเนินธุรกิจ (Business Models) ในหุ้นทุกตัว ที่แนะนำไป เพื่อหาจังหวะในการลงทุน

9.ส่วนหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ถ้าไม่จำเป็น ไม่ควรเข้าไปแวะข้องเกี่ยวในช่วงนี้ คือ หุ้นที่โดน การทำลายจากเทคโนโลยีแบบใหม่ๆ ทำลายรูปแบบธุรกิจเดิมๆออกไป โดยเฉพาะ กลุ่มธนาคารใหญ่ๆ SCB KBANK BBL และกลุ่ม สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) เพราะ ท่านอาจจะตามไม่ทัน หากตัดขายขาดทุนไม่ได้ ไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้อง กลุ่มน้ำมัน แก๊ส โรงกลั่น (PTT PTTEP PTTGC TOP ESSO SPRC BCP ), กลุ่มธุรกิจสื่อ WORK RS MCOT GRAMMY MONO, กลุ่ม ICT ความสามารถที่จะทำให้ได้กำไร เติบโต เกิน +30% คงยาก และ ไม่ควรเกี่ยวข้อง ทั้ง DTAC TRUE INTUCH ADVANC , ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง โดยส่วนตัว มองว่า ไม่น่าสนใจ ทั้ง ITD STEC CK STPI, กลุ่ม PROP-CONS. ทั้ง กลุ่ม บ้านและที่ดิน และ กลุ่ม SCC น่าจะรอก่อนดีกว่าเพราะ ไม่มีความโดดเด่นในช่วงนี้, อย่าลืมกฎตัดขายขาดทุน ถ้าเราวิเคราะห์หุ้นมาอย่างดีแล้ว หากขาดทุน ท่านตั้งกฎเอาเองว่า จะตัดขายขาดทุนเท่าไหร่ 1-3 ช่อง, 0-1%, 1-3%, 7-8%, 5-10% เลือกเองว่าจะใช้กฎไหน ขอให้ท่านเลือกเฉพาะหุ้นพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่มีรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่เข้ากับยุคปัจจุบันก็แล้วกันครับ