เชื่อใน ‘เอไอ’ พัฒนาด้วย ‘เอไอ’
คนไทยส่วนใหญ่มีทัศนคติที่ดีต่อเอไอ
หนึ่งในเทคโนโลยีที่ท้าทายและเปลี่ยนแปลงโลกมากที่สุดในยุคแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 นี้ คงจะหนีไม่พ้น “ปัญญาประดิษฐ์” หรือ “เอไอ”
ร๊อบ เนเวล รองประธานฝ่ายพัฒนาวิศกรรมโซลูชั่น เซลส์ฟอร์ซ ภูมิภาคเอเชีย แสดงทัศนะว่า เอไอได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ตลอดจนรูปแบบและการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมไปอย่างสิ้นเชิง
สำหรับในประเทศไทย ภายใต้วิสัยทัศน์ไทยแลนด์ 4.0 ทางภาครัฐก็ได้มีการออกแผนพัฒนาด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งมีเทคโนโลยีเอไอเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมให้ไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
อย่างไรก็ดี เมื่อเทคโนโลยีมีผลโดยตรงต่อการขับเคลื่อนธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศ มุมมองความเชื่อมั่นของคนต่อเทคโนโลยีจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม
คนไทยพร้อมเปิดรับ ‘เอไอ’
เมื่อเร็วๆ นี้ ทางเซลส์ฟอร์ซได้ทำการสำรวจมุมมองของผู้บริโภคในเอเชียที่มีต่อเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ รวมถึง กลุ่มตัวอย่างที่เป็นคนไทยกว่า 1,000 คน ภายใต้หัวข้อ “Artificial Intelligence in Asia: Trust, Understanding and the Opportunity to Re-Skill”
จากผลสำรวจพบว่า คนไทยมากถึง 68% กล่าวว่าพวกเขารู้จักเอไอ และเกือบครึ่งหรือราว 45% เชื่อว่าพวกเขาเข้าใจมันเป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังพบว่าคนไทยโดยส่วนใหญ่มีทัศนคติที่ดีต่อเอไอและเชื่อว่าเอไอจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคมได้ในอนาคต โดยมีคนไทยเพียง 2% เท่านั้นที่มีทัศนคติแง่ลบต่อเอไอ
เมื่อถามถึงความเชื่อในเอไอ ผู้บริโภคชาวไทยส่วนใหญ่จะให้ความไว้วางใจในเอไอต่อเมื่อสิ่งนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ซับซ้อนและทำเป็นกิจวัตร เช่น ใช้ตั้งนาฬิกาปลุก สร้างการนัดหมาย หรือควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน และมีผู้บริโภคเพียงจำนวนน้อยที่เข้าใจถึงประสิทธิภาพของเอไอในการวิเคราะห์และประมวลผล
“คนไทยมีมุมมองในเชิงบวกต่อเทคโนโลยีเอไอ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการสร้างความสะดวกสบาย สร้างโอกาสทางธุรกิจ และสร้างสังคมเมืองที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการพัฒนาประเทศสู่ความเป็นสมาร์ทซิตี้ ซึ่งทัศนคติที่ดีของคนไทยต่อเอไอน่าจะปัจจัยสนับสนุนให้ประเทศบรรลุเป้าหมาย”
ส่วนในแง่ธุรกิจ การทำงานที่สำเร็จได้จากการคลิ๊กเม้าส์เพียงไม่กี่คลิ๊ก แทนที่จะใช้เวลาทั้งสัปดาห์สร้างประโยชน์อย่างมหาศาลให้แก่ธุรกิจในทุกส่วน พนักงานในองค์กรสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้นได้โดยใช้เทคโนโลยีเป็นตัวช่วย ในเชิงของการทำงาน
โดยคนไทยกว่า 60% เชื่อว่า เอไอ จะช่วยให้พวกเขามีอิสระมากขึ้น และช่วยทำให้งานน่าสนใจขึ้นในอนาคต อีกทั้งยังลงความเห็นว่าพวกเขาจำเป็นและต้องการพัฒนาทักษะในการใช้เทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง
“ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าคนไทยนั้นพร้อมนำเอาความสามารถของเอไอมาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค และเมื่อนำมุมมองในเชิงบวกของคนไทยที่มีต่อเอไอ มารวมเข้ากับศักยภาพของตัวเอไอ เอง ผมเชื่อว่าประเทศไทยจะได้ประโยชน์ทางดิจิทัลอย่างมหาศาล สามารถพัฒนาไปได้อีกไกลทั้งในด้านธุรกิจและสังคม”
แนะพัฒนาแรงงาน-การศึกษา
เซลส์ฟอร์ซพบด้วยว่า แม้เทคโนโลยีเอไอจะเป็นสิ่งที่ได้ยินกันอยู่บ่อยครั้ง แต่มีผู้ตอบแบบสอบถามเพียง 2 ใน 5 เท่านั้นที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงศักยภาพของเอไอ
เมื่อสำรวจเจาะกลุ่มการสำรวจลงในแต่ละประเทศ ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า คนไทยมีมุมมองที่ดีต่อเอไอและเชื่อว่า เอไอจะเป็นตัวขับเคลื่อนในเชิงบวกให้แก่สังคม เศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต และอื่นๆ ในอนาคต
ที่ผ่านมาเพื่อการปฎิรูปประเทศให้ก้าวทันยุคดิจิทัลที่กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลง ทั้งในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านการศึกษาและเสริมสร้างทักษะด้านดิจิทัลให้กับแรงงาน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ท้าทาย เหตุเพราะนอกจากต้องใช้ทรัพยากรทางการเงิน ประเทศยังต้องมีแนวทางสำหรับการเปลี่ยนแปลงในเชิงลึกในระบบแรงงาน และระบบการศึกษาด้วย
ข้อมูลจากแมคคินเซย์รายงานว่า ภายในปี 2573 ระบบออโตเมชั่นที่ควบคุมด้วยเอไอจะมีอิทธิพลและส่งผลต่อแรงงานทั่วโลกราว 75 - 375 ล้านคน ซึ่งจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นผู้คนจึงคาดหวังให้เหล่าผู้นำทางธุรกิจช่วยหาโซลูชั่นเพื่อเปลี่ยนถ่ายการทำงานไปสู่ในตำแหน่งอื่น เกิดคำถามคือแล้วแรงงานในประเทศไทย พร้อมแล้วหรือยังกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากเอไอ
