“แครี่ หล่ำ”เยือนไทยดันเจรจาเอฟทีเอ

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่าในวันที่ 29 พ.ย.นี้ นางแครี่ หลำ ผู้ว่าการเขตบริหารพิเศษฮ่องกง จะเดินทางมายังประเทศไทย เพื่อพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และร่วมประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงไทย-ฮ่องกง เป็นครั้งแรก กับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และภายหลังการหารือจะมีการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (เอ็มโอยู) 6 ฉบับ

โดย MOU ที่สำคัญที่สุดเป็นกรอบความร่วมมือระหว่างรัฐบาลในการพัฒนาทุกด้าน ซึ่งนายสมคิด และนางแครี่ แลม จะเป็นผู้ลงนามด้วยตัวเอง ส่วนเอ็มโอยูที่เหลือจะเป็นกรอบการพัฒนาด้านต่างๆ เช่น อุตสาหกรรม การส่งเสริมนวัตกรรม และการพัฒนาคน การส่งเสริมผู้ประกอบการกลุ่มสตาร์ทอัพ การร่วมมือทางด้านเทคโนโลยี การเชื่อมโยงด้านการเงิน และตลาดทุนระหว่างกัน และการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ร่วมทั้งจะเป็นการเริ่มต้นการเจรจาเพื่อจัดทำเขตการค้าเสรีไทย-ฮ่องกง

อ่านข่าว-ฮ่องกงเตรียมนำเข้าสุกรจากไทย

“ถือเป็นครั้งแรกของทั้ง 2 ประเทศที่มีการยกระดับความร่วมมือผ่านการหารือผ่านคณะกรรมการร่วมระดับสูง ซึ่งจะมีการประชุมกันเป็นประจำเหมือนที่ไทยมีความร่วมมือกับจีนและญี่ปุ่น ซึ่งความร่วมมือเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจระหว่างกันทุกด้าน ทางฝ่ายฮ่องกงจะใช้ไทยเป็นประตูเชื่อมกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม ส่วนไทยเองก็สามารถใช้พื้นที่เขตเศรษฐกิจอ่าวกว่างตง-ฮ่องกง-มาเก๊า หรือเกรเตอร์ เบย์แอเรีย ไปสู่จีนได้”

ทั้งนี้ ความร่วมมือที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อยอดมาจากการเดินทางไปเยือนฮ่องกงของนายสมคิด และคณะ เมื่อช่วงเดือนต.ค. ที่ผ่านมา ขณะเดียวกันคณะของนายเอ็ดเวิร์ด เหยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และการพัฒนาเศรษฐกิจของฮ่องกง ได้นำคณะนักธุรกิจจากฮ่องกงกว่า 50 คนมาเยือนไทย เพื่อศึกษาช่องทางการค้าและการลงทุนในไทย 

โดยเฉพาะศึกษาลู่ทางการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และวันที่ 28 พ.ย.นี้ สำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง (เอชเคอีทีซี) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จัดสัมมนาเพื่อชี้แจงข้อมูลการลงทุนของไทย โดยนายสมคิด จะไปกล่าวชักจูงการลงทุนด้วยตัวเอง

สำหรับกลุ่มนักธุรกิจฮ่องกงที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยครั้งนี้ ได้มาจากหลายกลุ่มธุรกิจที่ทางฮ่องกงคัดเลือกมา ซึ่งที่สนใจเข้ามาลงทุนขยายธุรกิจในประเทศไทย เช่น กลุ่มธุรกิจการเงิน ประกันภัย อสังหาริมทรัพย์ โลจิสติกส์ พลังงาน อุตสาหกรรม และกลุ่มสตาร์ทอัพ โดยมีบางส่วนกำลังมองหาลู่ทางในการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า รวมทั้งเวทีนี้จะมีการจับคู่ธุรกิจมีฝ่ายไทยเข้าร่วม 60 ราย