‘พีทีเอฟเรียลตี้’ รุกทาวน์โฮม รับกำลังซื้อรถไฟฟ้าสีเหลือง

นายถงหยุ่ย โทนี่ ยิ่ง กรรมการผู้บริหาร บริษัท พีทีเอฟ เรียลตี้ (2018) จํากัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ตลาดอยู่ในภาวะชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ แต่บริษัทเชื่อมั่นว่า1-2ปีตลาดจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นเนื่องจากผู้บริโภคยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย และไทยมีแนวโน้มการลงทุนที่ดี เมื่อเทียบกับหลายประเทศในอาเซียน ดังนั้นปีหน้าบริษัทจึงได้เตรียมแผนการลงทุนเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม แนวรถไฟฟ้าย่านอ่อนนุช บางนาพร้อมทั้งหันมาทำตลาดบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมในทำเลลาดพร้าว เพื่อรองรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาสนใจที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้นแทนที่จะเป็นคอนโดมิเนียมที่มีระดับราคาใกล้เคียงกัน

“ยกตัวอย่างคอนโด2ห้องนอนราคา5-6ล้านบาท กับบ้านเดี่ยวหรือทาวน์โฮมในราคาเดียวกันผู้บริโภคเลือกที่จะซื้อบ้านหรือทาวน์โฮม ซึ่งในทำเลลาดพร้าวตอบโจทย์ เนื่องจากกำลังมีรถไฟฟ้าสายสีเหลืองออกมาให้บริการในอนาคต ประกอบกับตลาดคอนโดอยู่ในภาวะชะลอตัว ซัพพลายในตลาดเยอะในหลายพื้นที่ การทำตลาดแนวราบถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่ตอบโจทย์กำลังซื้อของผู้บริโภคที่มีอยู่จำกัด ”

นายถงหยุ่ย กล่าวต่ออีกว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลและหาที่ดินในการขยายตลาดแนวราบ ปัจจุบันอสังหาฯไทยยังน่าสนใจ ยังน่าลงทุนผลตอบแทนอยู่ในเกณฑ์ที่สูง หากเทียบกับตลาดต่างประเทศ และ จากประสบการณ์บริหารและนำห้องของลูกค้าที่ซื้อไปแล้วมาปล่อยเช่ารวมทุกโครงการกว่า 250 ห้องชุด ให้ผลตอบแทนที่ลูกค้ากลุ่มนักลงทุนได้ 4-5% ต่อปี โดยทุกโครงการที่เปิดขายมีสัดส่วนการซื้อเพื่อลงทุนอยู่ที่ 30 % ซึ่งบริษัทมีทีมงานดูแลและบริหารจัดการเรื่องเช่าให้ลูกค้านักลงทุน

 

ล่าสุดได้เปิดตัวโครงการเมย์แฟร์ เพลส วิคทอรี่ โมนูเมนต์ ซึ่งเป็นโครงการที่5 ของบริษัท ที่พัฒนาภายใต้แนวคิด“ Exceeding Expections: ใช้ชีวิตเหนือจินตนาการ”ออกแบบด้วยแนวคิดที่เน้นเรื่องประสบการณ์ของผู้พักอาศัยเป็นหลัก พัฒนารูปแบบห้องพักโดยเน้นพื้นที่ใช้สอยที่ลงตัว พร้อมวัสดุคุณภาพตอบสนองการใช้งานระยะยาว โดยยังให้ทุกยูนิตเพดานสูง 3 เมตร ให้ความเป็นส่วนตัว10 ยูนิตต่อชั้นในราคา140,000บาทต่อตร.ม.ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 1-17.7 ไร่ บนทำเลแยกดินแดงติดถนนใหญ่ฝั่งถนนวิภาวดี (ขาออก) พัฒนาเป็นคอนโดสูง 28 ชั้น จำนวน194 ยูนิต มูลค่ารวม 1,200 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการยื่นขอ EIA (ผลศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม) คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในกลางปี 2563 การก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2565

ในส่วนของกลุ่มบริษัทพีทีเอฟ เรียลตี้นั้น ได้มีการลงทุนในธุรกิจอสังหาฯในประเทศมา 10 ปีซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีพัฒนาโครงการคอนโดมาแล้ว 4 โครงการรวมมูลค่ากว่า 5,400 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการคอนโด เดอะ ราชดำริ, โครงการเมแฟร์ เพลส สุขุมวิท 64 ,โครงการเมแฟร์ เพลส สุขุมวิท 50 โดยทั้ง 3 โครงการดังกล่าว ปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนโครงการที่ 4 คือโครงการDEFINE by Mayfair สุขุมวิท 50 ปัจจุบันมียอดขายกว่า 60% จากมูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท เริ่มก่อสร้าง ปี 2562 คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2563 หากรวม 5 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 6,600 ล้านบาทที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทย