ฟื้นตัวตามปัจจัยภายนอก

ฟื้นตัวตามปัจจัยภายนอก

คาด SET ดีดตัวขึ้นทดสอบ 1,600 – 1,605 จุดก่อนจะสลับอ่อนตัว ตอบรับปัจจัยบวกความคืบหน้าการเจรจาการค้าสหรัฐ-จีน

ตลาดหุ้นวานนี้

SET Index แกว่งตัวผันผวนปิด +3.20 จุด (+0.20%) ที่ระดับ 1,596 จุด ด้วย Volume 4.9 หมื่นล้านบาท โดยแม้ว่าภาวะตลาดจะมีปัจจัยลบสหรัฐสั่งระงับสิทธิพิเศษ GSP สินค้าไทยมูลค่ากว่า 40,000 ล้านบาท แต่ดัชนีได้แรงซื้อความคาดหวัง Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 29 – 30 ต.ค.หนุนให้ดัชนีดีดตัวขึ้นปิดบวกได้สำเร็จ โดยเป็นแรงซื้อในกลุ่ม PETRO, CONMAT, HELTH ส่วนนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 650 ล้านบาท และขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 706 ล้านบาท แต่ Net Long TFEX จำนวน 21,517 สัญญา

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้

เรามีมุมมองเป็นกลาง-บวกคาด SET ดีดตัวขึ้นทดสอบ 1,600 – 1,605 จุดก่อนจะสลับอ่อนตัว ตอบรับปัจจัยบวกความคืบหน้าการเจรจาการค้าสหรัฐ-จีนหลังปธน.ทรัมป์เผยว่าจะลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรกได้ก่อนการประชุม APEC 16 – 17 พ.ย. , EU เห็นชอบขยายเวลาการ Brexit ออกไปถึงวันที่ 31 ม.ค. 2021 รวมถึงความคาดหวัง Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เป็น 1.75% ในการประชุม 29 – 30 ต.ค.ซึงเป็นบวกต่อทิศทางการลงทุน อย่างไรก็ตามความกังวลงบ 3Q19 ที่จะหดตัวลงโดยเฉพาะกลุ่มโรงกลั่น ปิโตร อสังหาฯ รวมถึงกระแส Fund Flow ต่างชาติที่ยังไม่มีทิศทางชัดเจนจะเป็นตัวถ่วงให้ดัชนีสลับอ่อนตัวลง

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • หุ้นที่คาดว่างบ 3Q19 จะเติบโต GPSC, BGRIM, EA, ADVANC, BCH, CHG, EPG, TASCO ,PRM, JMT, JMART, BGC
  • กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC, SAWAD) ได้ประโยชน์ต้นทุนลดลงจากทิศทางดอกเบี้ยขาลง
  • Defensive stock AOT, INTUCH, ADVANC, BEM, BTS, BDMS, BCH, CHG, GPSC, TTW, CPALL

หุ้นแนะนำวันนี้

  • JMART (ปิด 9.8 ซื้อ/เป้า IAA Consensus 11 บาท) คาดผลกำไรเติบโตต่อเนื่องจากธุรกิจในกลุ่มบริษัทลูกเดินหน้าสร้างผลกำไร นำโดย JMT, SINGER และ J -asset ขณะเดียวกันธุรกิจมือถือของ JMART ได้ประโยชน์โดยตรงจากมาตรการชิมช้อปใช้เฟส 2 เนื่องจากเป็นสินค้าเป้าหมายที่ประชาชนจะเข้าซื้อเพื่อรับส่วนลดที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการของรัฐ โดยเฉพาะโทรศัพท์ I Phone 11 ที่เริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว
  • MTC (ปิด 61 ซื้อ/เป้า IAA Consensus 63 บาท) กลุ่มไฟแนนซ์ได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง(คาด Fed และ กนง.จะลดดอกเบี้ย) ช่วยลดต้นทุนเงินทุนให้ผู้ประกอบการในกลุ่มไฟแนนซ์ โดยปีหน้า MTC มีหนี้และหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดและสามารถ Refinanc ได้มากที่สุดของกลุ่มที่ประมาณ 8,700 ล้านบาท

บทวิเคราะห์วันนี้

MINT (ปิด 35.75 ซื้อ/เป้า 47), SCC (ปิด 359 ถือ/เป้าใหม่ 330 เดิม 460)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (+) ทรัมป์ส่งสัญญาณบวก อาจจะลงนามข้อตกลงการค้ากับจีนได้เร็วกว่าที่ตลาดคาดไว้: เดิมเราคาดว่าสหรัฐและจีนจะบรรลุข้อตกลงและลงนามการค้าร่วมกันได้ในการประชุม APEC ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงวันที่ 16-17 พ.ย. แต่การเจรจาที่มีความคืบหน้าอย่างมากของทั้ง 2 ประเทศในปัจจุบัน ทำให้ทรัมป์มั่นใจว่าสหรัฐกับจีนอาจจะบรรลุข้อตกลงและสามารถลงนามเพื่อยุติข้อพิพาทการค้าบางส่วนร่วมกันได้ก่อนที่จะมีการประชุม APEC ถือเป็นความคืบหน้าทางบวกที่จะเข้ามาช่วยหนุน Sentiment การลงทุนให้กับตลาดได้
  • (+) Brexit ผ่อนคลายชั่วคราวหลัง EU มีมติเลื่อนกำหนดเส้นตายเป็น 31 ม.ค.20 จากเดิม 31 ต.ค.19 : เป็นอีกหนึ่งสถานการณ์ที่ผ่อนคลายขึ้นหลังจากที่เมื่อวาน EU ซึ่งมีประเทศสมาชิกรวมกว่า 27 ประเทศเห็นชอบเรื่องการขยายเวลาในการออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ (Brexit) เป็นวันที่ 31 ม.ค. 2020 จากเดิม 31 ต.ค.2019 โดยมีเงื่อนไขเป็นแบบ Flex tension คือ อังกฤษสามารถออกจาก EU ได้ก่อนเส้นตายหากรัฐสภาลงมติเห็นชอบการเลื่อนเส้นตาย ช่วยให้รัฐสภาอังกฤษมีเวลามากขึ้นในการดำเนินการเพื่อนำอังกฤษออกจาก EU แบบราบรื่น ซึ่งจะดีกว่าที่อังกฤษรีบออกจาก EU โดยไร้ข้อตกลง
  • (-) ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 วันทำการ นักลงทุนยังกังวลต่อเศรษฐกิจจีน: ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 85 เซนต์ (-1.5%) ปิดที่ระดับ 55.81 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลงเป็นวันแรกในรอบ 5 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนยังกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจและดีมานด์จากจีนหลังจากที่วานนี้จีนรายงานผลกำไรของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมลดลง 5.3%yoy ในเดือน ก.ย. ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ขณที่ยอดรวม 9 เดือน หดตัว 2.1%yoy
  • (-) สศค.ยอมถอย ลดเป้า GDP ปีนี้เหลือโต 2.8% จากเดิมคาดโต 3%: วานนี้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับลดคาดการณ์ GDP ของไทยในปีนี้ลงเป็นโต 2.8% จากเดิมคาดโต 3% เนื่องจากมีความกังวลต่อภาคส่งออกซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้าและค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้มีโอกาสสูงที่การส่งออกของไทยในปีนี้จะติดลบประมาณ 2.5% ซึ่งมากกว่าที่ สศค.คาดไว้ก่อนหน้าที่ว่าจะติดลบเพียง 0.9% อย่างไรก็ตามประเด็นนี้คาดว่าจะไม่ส่งผลกับตลาดมากนักเพราะเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับที่เราและหลายหน่วยงานที่ทยอยลดคาดการณ์ GDP ปีนี้ลงมาก่อนแล้ว อาทิ World bank คาดโต 2.7% และ IMF คาดโต 2.9%