‘บำรุงราษฎร์’ เปิดเแผนธุรกิจ รับเทรนด์“พรีเวนทีฟ เมดดิซีน”
จากกระแสดิจิทัลทรานส์ฟอร์ม ที่เข้ามามีอิทธิพลในอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ ส่งผลให้วงการแพทย์ได้การนำเทคโนโลยีอัจฉริยะ มาเชื่อมโยงกับอุปกรณ์การแพทย์เพื่อก้าวสู่โรงพยาบาลอัจฉริยะ
อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ผู้อำนวยการด้านบริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า แนวโน้มทางการแพทย์จะให้ความสำคัญกับการป้องกันไม่ให้เกิดโรคมากขึ้นถือเป็นท้าทายในการเพิ่มขีดความสามารถในการดูแลสุขภาพให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น จึงต้องปรับตัวก้าวสู่โรงพยาบาลที่ให้บริการสุขภาพแบบองค์รวมระดับโลก ที่มีความเป็นเลิศทางการรักษาขั้นตติยภูมิที่สร้างความแตกต่างด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยีสมัยใหม่
ดังนั้น 5ปีต่อจากนี้โรงพยาบาลจึงมีแผนการลงทุนเบื้องต้น4,000 ล้านบาท ในการจัดซื้อเครื่องมือ อุปกรณ์การแพทย์ ระบบไอที เพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพบริการผู้ป่วยถูกต้องแม่นยำและเฉพาะเจาะในแต่ละบุคคลมากขึ้นเพื่อรองรับการแข่งขันตลาดโรงพยาบาลที่รุนแรง คาดว่าในปีนี้ราคาได้โต2%จากปีก่อนที่มีรายได้19,000 ล้านบาท ”
โดยจะให้ความสำคัญเรื่อง Excellence Management ซึ่งมี 3 องค์ประกอบหลักๆ ประกอบด้วย 1. Clinical Excellenceในรูปแบบของศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ ต่างๆ โดยเฉพาะสหสาขาวิชาชีพในการรักษาขั้นตติยภูมิ ซึ่งเป็นขั้นสูงสุดของการบริบาล เพื่อให้สามารถดูแลรักษาโรคเฉพาะทางได้อย่างครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่การป้องกัน การวินิจฉัยในระยะเริ่มต้น การรักษา ตลอดจนถึงการฟื้นฟูสมรรถภาพโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พร้อมด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ อาทิ แผนกผู้ป่วยวิกฤต , ศูนย์หัวใจ , ศูนย์มะเร็งฮอไรซัน , ศูนย์ทางเดินอาหาร-ตับ, ศูนย์โรคระบบประสาท, ศูนย์หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด , ศูนย์จักษุ เป็นต้
2.Operational & People Excellenceมุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากร โดยมีการใช้รูปแบบและสื่อที่หลากหลาย ทั้งแบบฝึกอบรม สัมมนา, การเรียนรู้ผ่านแอปพลิเคชั่นได้ทุกที่ทุกเวลา และ 3. Service Excellence เน้นการพัฒนาบริการให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้า หรือผู้ป่วยด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการบริการ อาทิ Bumrungrad Anywhere ซึ่งเป็นการให้บริการในรูปแบบ ‘เทเลเมดิซีน’ ที่ผู้รับบริการสามารถปรึกษาแพทย์ส่วนตัวผ่านสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต แบบเรียลไทม์ โดยแพทย์สามารถวินิจฉัยอาการเบื้องต้น รวมทั้งแนะนำแนวทางการรักษา และข้อมูลสุขภาพต่างๆ หรือ การเปิดคลินิกพิเศษสำหรับผู้ป่วยนอก เพื่อการเข้าถึงบริการที่รวดเร็วขึ้น โดยใช้เวลาตั้งแต่ลงทะเบียน พบแพทย์ จ่ายเงิน และรับยา ภายในเวลา 1 ชม. เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีอาการป่วยไม่รุนแรง ฉีดวัคซีน หรือรับยาประจำเพิ่ม เป็นต้น
“เราให้ความสำคัญกับไฮเทคและไฮทัชไปพร้อมๆกัน เพื่อสร้างความประทับใจในการบริการให้กับลูกค้าคนไทยและต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการปีละ1.4 ล้านคน 50 % เป็นคนไทย และอีก50% เป็นต่างชาติ ”
ธีรเดช เวียงธีรวัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนา โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวเสริมว่า ทิศทางในอนาคตของอุสาหกรรมทางการแพทย์ มีการแข่งขันที่สูงมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแต่สถานพยาบาลด้วยกันเอง แต่จะมีสตาร์ทอัพรายใหม่ๆ ที่พร้อมจะเข้ามาคิดค้นพัฒนาแพลตฟอร์มด้านสุขภาพออกมานำเสนอ อาทิ การพัฒนาแอพฯตรวจโรคเบาหวาน แอพฯตรวจโรคมะเร็ง แอพฯหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด หรือแอพฯผู้ช่วยเสมือนพยาบาลเป็นต้น โดยอาจเชื่อมโยงข้อมูล บิ๊กดาต้า และนำเอไอ มาทำนายโรคที่จะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยในอนาคต โดยดูจากหลายปัจจัย อาทิ ความสัมพันธ์ของยีน ค่าความเสี่ยงต่างๆ จากพันธุกรรม รวมถึงปัจจัยสิ่งแวดล้อมอื่นๆ มาวิเคราะห์ร่วมกันจากหลายตัวแปร
“ต่อไปการดูแลสุขภาพจะเน้นการดูแลเชิงป้องกัน (Prevention) ไม่ให้เกิดโรคมากยิ่งขึ้น โดยมีการนำเอไอมาใช้วิเคราะห์ผลร่วมกับแพทย์เพื่อให้เข้าใจถึงรหัสพันธุกรรมของผู้ป่วยแต่ละราย และนำไปสู่การตรวจรักษาโรคได้อย่างแม่นยำและจำเพาะต่อตัวบุคคล ซึ่งจะช่วยส่งเสริมสุขภาพที่ดีและเหมาะสมกับผู้ป่วย”
ดังนั้น ช่วง3-5 ปีที่ผ่านมา บำรุงราษฎร์ได้ศึกษาวิจัยและนำเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูงมาปรับใช้ในองค์กรหลายส่วน ทั้งในเรื่องการนำระบบซอฟต์แวร์เพื่อการเชื่อมโยงข้อมูลอย่างเป็นระบบ การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น ข้อมูลมีความแม่นยำและถูกจัดเก็บอย่างปลอดภัย และสามารถเรียกใช้งานแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ ยังมีการนำนวัตกรรมทางการแพทย์ในหลากหลายรูปแบบ อาทิ เอไอ บิ๊กดาต้า หุ่นยนต์ทางการแพทย์ จีโนมิกส์ เทเลเมดิซีน
ปัจจุบัน บำรุงราษฎร์กำลังศึกษาถึงความสัมพันธ์ของ “ยีนและยา” เพื่อมุ่งสู่การดูแลสุขภาพแบบเฉพาะบุคคล ผ่านการตรวจหาความผิดปกติในหน่วยพันธุกรรม ร่วมกับการเก็บข้อมูลการใช้ชีวิตประจำวันในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล เช่น เรื่องอาหาร อากาศ การพักผ่อนเพื่อนำข้อมูลทั้งหมดมาประมวลผลวิเคราะห์หาความเสี่ยงในการเกิดโรค เพื่อวางแผนการให้ยาได้อย่างเหมาะกับผู้ป่วยเฉพาะรายบุคคล ซึ่งเป็นเทรนด์การรักษาโรคในอนาคต