เกาหลีใต้ชูนโยบายปั้น ‘ไทย’ ฐานผลิตรถไฟฟ้า

เกาหลีใต้ชูนโยบายปั้น ‘ไทย’ ฐานผลิตรถไฟฟ้า

ไทยประสบความสำเร็จในการเป็นแหล่งผลิตรถยนต์รายใหญ่ มีการส่งออกรถยนต์ไปยังภูมิภาคอาเซียนสูงเป็นอันดับ1 และอันดับ12 ของโลก

เกาหลีใต้ให้ความสำคัญกับประเทศไทยในการเป็นฐานขยายธุรกิจไปสู่ประเทศ “ซีแอลเอ็มวี” (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้ร่วมกับสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมเกาหลีใต้ได้จัดงาน ไทย-เกาหลีใต้ บิสสิเนส ฟอรัม 2019 เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนจาก 2 ประเทศได้ทำความรู้จักและร่วมมือกันผลิตสินค้าและบริการส่งออกไปทั่วโลกแบบไร้รอยต่อ

มุน แจ อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ กล่าวว่า ขณะนี้ เกาหลีใต้ได้ดำเนินนโยบายมุ่งใต้ใหม่ (New Southern Policy) ให้ความสำคัญต่อการสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศสมาชิกอาเซียน โดยเฉพาะกับประเทศไทย ซึ่งมองว่าเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นสูง อย่าง การผลิตรถยนต์อัตโนมัติ และยานยนต์แห่งอนาคต

“เกาหลีใต้มีความมุ่งมั่นและพร้อมให้การสนับสนุนไทยไปสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตชั้นนำของอาเซียน โดยในเร็ว ๆ นี้ จะมีการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าที่เรียกว่า ไอโอนิก (IONIG) ในประเทศไทย ซึ่งรถยนต์รุ่นดังกล่าวได้รับความนิยมมากในเกาหลีใต้ และได้มีการส่งออกไปยังสหรัฐและหลายประเทศในยุโรป” มุน แจ อิน เผย

ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ยังมองว่า ไทยมีบทบาทสำคัญในความร่วมมือภายใต้นโยโบายมุ่งใต้ใหม่ของเกาหลีใต้ ซึ่งจะเน้นใน 3 เรื่อง ได้แก่ 1.เดินหน้าร่วมมือปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ร่วมกัน เป็นการเชื่อมความร่วมมือให้สอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เน้นพัฒนาใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายหลัก

2. ร่วมมือเสริมสร้างระบบนิเวศให้กับธุรกิจสตาร์ทอัพ ปัจจุบัน เกาหลีใต้ยังมีสตาร์ทอัพที่มีมูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ (ยูนิคอร์น) จำนวน 9 ราย แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและขีดความสามารถที่จะส่งเสริมสตาร์ทอัพของไทย 3. เกาหลีใต้และไทย สามารถร่วมมือกันในเวทีการค้าโลกอย่างเสรี ต่อต้านลัทธิปกป้องการค้า ภายใต้ระบบพหุภาคีที่โปร่งใส และตรวจสอบได้

ด้าน ชาง จี ซัง ประธานสถาบันเศรษฐกิจอุตสาหกรรมและการค้าเกาหลีใต้ กล่าวย้ำว่า ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นผู้นำเศรษฐกิจอันดับ2 ในคาบสมุทรอินโด-จีน ซึ่งสถาบันเศรษฐกิจฯของเกาหลีใต้ ได้ศึกษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ พบว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยขยายตัวเพิ่มมากขึ้นจากปี 2557 อยู่ที่ 0.98% แต่ในปี 2561 ได้ทะยานขึ้นไป 4.13% ส่วนหนึ่งมาจากที่ไทยประสบความสำเร็จในการเป็นแหล่งผลิตรถยนต์รายใหญ่ มีการส่งออกรถยนต์ไปยังภูมิภาคอาเซียนสูงเป็นอันดับ1 และอันดับ12 ของโลก สิ่งนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงขีดความสามารถของประเทศไทย และดึงดูดนักลงทุนเกาหลีใต้ในการเข้ามาลงทุนและขยายตลาดรถยนต์อัตโนมัติในไทย

รายงานของประธานสถาบันเศรษฐกิจอุตสาหกรรมและการค้าเกาหลีใต้ระบุว่า ความร่วมมือทางการค้าไทยและเกาหลีใต้มีการพัฒนาต่อเนื่อง ในปีล่าสุดมีมูลค่าการค้าระหว่างกันรวม 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเกาหลีใต้ส่งออกสินค้ามายังไทย มูลค่า 8,500 ล้านดอลลาร์ และนำเข้าสินค้าไทยมูลค่า 5,600 ล้านดอลลาร์

ขณะที่เกาหลีใต้ได้นำเงินมาลงทุนในไทยช่วง 5 ปีที่ผ่านมา คิดเฉลี่ยแล้วมีมูลค่าประมาณ 100 ล้านดอลลาร์ โดยมีลงทุนในปี 2554 สูงสุดถึง 584 ล้านดอลลาร์ เป็นการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม 62.5% การเข้าไปร่วมลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 8.8% ธุรกิจไอซีที 8% โดยปัจจุบันมีนักธุรกิจเกาหลีใต้ในไทยมากกว่า 400 คน และมีประชาชน 2 ประเทศเดินทางไปมาหาสู่กันมากกว่า 2.3 ล้านคน

คิม ยอง ซุก หัวหน้าคณะทำงานศูนย์พัฒนารถยนต์ไฟฟ้า ของบริษัทฮุนได มอเตอร์ เผยว่า บริษัทได้ผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Car) สอดรับกับนโยบายรัฐบาลเกาหลีใต้ที่จะใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศในปี 2568 ซึ่งในขณะนี้บริษัทได้พัฒนารถยนต์ในชื่อไอโอนิก และทยอยเปิดตัวไปแล้วจำนวน 44 รุ่น มีทั้งรถยนต์ประเภทไอโอนิกไฮบริด ไอโอนิกระบบไฟฟ้า และไอโอนิกอัตโนมัติ ที่ได้รับหลายรางวัลเป็นเครื่องการันตีทั้งจากสหรัฐและอังกฤษ

“บริษัทมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาสมรรถนะรถยนต์ไอโอนิกให้มีความแข็งแกร่งยิ่ง ๆ ขึึ้น และกำลังพัฒนาแบตเตอรี่ที่มีความทนทานต่อการใช้งานได้ทุกสภาพอากาศ โดยมีเป้าหมายผลิตรถยนต์จำนวน 1 ล้านคันออกสู่ตลาดในอีก 6 ปีข้างหน้า ในขณะนี้ได้พัฒนารถยนต์ไอโอนิกวิ่งโดยใช้ระบบไฟฟ้าสะสมได้เป็นระยะทางไกลถึง 44 กม. สะท้อนถึงขีดความสามารถรถยนต์ไอโอนิก ขณะเดียวกันได้มีการพัฒนาเครื่องยนต์ของไอโอนิก เพื่อนำไปใช้ในรถยนต์ซีดานไปจนถึงรถยนต์เอสยูวี โดยตอนนี้ได้ไปทดลองใช้กับรถทัวร์ในธุรกิจท่องเที่ยว เพื่อให้ความมั่นใจได้ว่า รถยนต์ที่พัฒนาขึ้นมานี้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจริง ๆ” ผู้แทนจากบริษัทฮุนได มอเตอร์กล่าว

คิม ยอง ซุก กล่าวตอนท้ายว่า บริษัทมีความเชื่อมั่นประเทศไทยที่จะสามารถเป็นฐานการผลิตรถยนต์ชั้นนำ โดยเฉพาะรถยนต์อัตโนมัติที่กำลังเป็นเทรนด์ใหม่ในตลาดรถยนต์โลก ดังนั้นจึงต้องการหาพันธมิตรที่จะมาร่วมมือกันผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงาน เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน