“สมชัย” จี้กกต. หาคำตอบพรรคเล็กยื่นยุบตัวเองเข้าสังกัดพรรคใหญ่ นับรวมคะแนนอย่างไร หวั่นเป็นเกม ดูด ส.ส.พรรคเล็ก คาดต้องไปต่อที่ศาลรธน.
เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 62 นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป (ปชช.) ยื่นยกเลิกกิจการพรรคการเมืองว่า กรณีการยุบพรรคมี 2 กรณี คือ ยุบตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ และยุบตามมติของคณะกรรมการบริหารพรรคที่เห็นว่าไม่สามารถบริหารจัดการภายในพรรค เช่น มีหนี้สิน และไม่สามารถทำตามเงื่อนไขของพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองได้ จึงได้ยื่นยุบพรรคต่อกกต. ซึ่งเมื่อพรรคถูกยุบพรรคแล้ว ส.ส.ยังมีสถานะความเป็นส.ส.อยู่ โดยจะต้องหาพรรคใหม่สังกัดภายใน 60 วัน แต่จะมีปัญหากรณี ส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งมาจากคะแนนรวมทุกเขตของทั้งประเทศที่ถูกนำมาคำนวณเป็นจำนวนส.ส.พึงมี ดังนั้นคำถามคือ ส.ส.ดังกล่าวจะไปอยู่ในบัญชีรายชื่อลำดับที่เท่าใดของพรรคการเมืองใหม่ที่ไปสังกัด เพราะจะมีปัญหาหากมีการเลือกตั้งซ่อมเกิดขึ้น ที่จะต้องคำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อใหม่ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งซ่อมภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ.62 ซึ่งล่าสุดที่จะเกิดขึ้นในจังหวัดนครปฐม
“ในกรณีของจังหวัดเชียงใหม่เขต 8 เป็นตัวอย่างได้ชัดเจนว่า เกิดการปรับเปลี่ยนจำนวนส.ส.พึงมีของแต่ละพรรค เพราะเมื่อคำนวณคะแนนใหม่ทั้งประเทศ มีพรรคพลังประชารัฐ และ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่มพรรคละ 1 คน แต่พรรคที่ส.ส.หายไปคือพรรคไทรักธรรม แสดงให้เห็นว่าแม้คะแนนเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยสามารถสร้างผลกระทบได้”นายสมชัยกล่าว
นายสมชัย กล่าวอีกว่า หากยุบพรรคปชช.แล้ว จะต้องนำคะแนนของพรรคประชาชนปฏิรูปกว่า 45,000 คะแนน ไปลบออกแล้วนำไปคำนวณใหม่ ซึ่งนายไพบูลย์สามารถไปสังกัดเฉพาะพรรคที่จะได้ส.ส.พึงมีเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ปัญหาจะอยู่ที่ว่านายไพบูลย์ต้องการจะไปอยู่พรรคนั้นหรือไม่ และพรรคนั้นจะยอมรับนายไพบูลย์หรือไม่ นอกจากนี้หากนายไพบูลย์ได้ไปอยู่พรรคพลังประชารัฐ จะไปแทรกลำดับของผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อได้หรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่กกต.ต้องหาคำตอบให้ได้ เพราะอย่างไรจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงจำนวนส.ส.ของพรรคอย่างแน่นอน นอกจากนี้กรณีของนายไพบูลย์จะเข้าข่ายเป็นการควบรวมพรรคหรือไม่ เพราะพรรคประชาชนปฏิรูปมีส.ส.เพียงคนเดียว ดังนั้นการที่นายไพบูลย์ไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐจะเท่ากับการย้ายพรรค100%
“กรณีดังกล่าวจะส่งผลกระทบตามมาอีกมากในทางการเมือง พรรคใหญ่จะใช้วิธีการเดียวกันนี้ให้พรรคเล็กยุบและดึงสส.ของพรรคนั้นเข้ามาอยู่ในพรรคใหญ่ เพื่อเลี่ยงกฎหมายการควบพรรคการเมือง หรือ พรรคเล็กอยากจะหนีความเสี่ยงว่าจะหลุดออกจากตำแหน่งส.ส.เพราะได้คะแนนรวมของพรรคต่ำไปสังกัดพรรคใหญ่แทน ซึ่งจะทำให้หลักการและเจตนารมณ์ของกฎหมายผิดเพี้ยนไปหมด จึงขอให้กกต.คิดในเชิงนิติศาสตร์และมองในทางรัฐศาสตร์ถึงผลกระทบที่ตามมา ทั้งนี้เชื่อว่าประเด็นดังกล่าวจะไปถึงศาลรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน เพราะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และ เป็นเรื่องที่กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน จึงไม่มีบทบัญญัติใดๆเกี่ยวกับกรณีนี้”นายสมชัยกล่าว