'สนธิรัตน์' จ่อถก1-2วันนี้ ปรับพีดีพี เพิ่มพลังงานทดแทน

'สนธิรัตน์' จ่อถก1-2วันนี้ ปรับพีดีพี เพิ่มพลังงานทดแทน

“สนธิรัตน์” เรียกถกผู้บริหารกระทรวงพลังานใน 1-2 วันนี้ ดันปรับเพิ่มสัดส่วนผลิตไฟฟ้าพลังงานทดแทน เดินหน้าโรงไฟฟ้าชุมชน ให้เห็นผลภายใน 3 เดือนแรก

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวในงานเสวนาเรื่อง “Roadmap to Success: Up Close with Thailand’s New Ministers ในงาน บางกอกโพสต์ ฟอร์ม 2019 ทิศทางประเทศไทย ภายใต้รัฐบาลใหม่ ว่า ขอให้ประชาชนอย่ากังวลใจ แม้ว่ารัฐบาลชุดนี้ จะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 19 พรรคการเมือง แต่ได้มีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี(ครม.)เศรษฐกิจ รวม 11 กระทรวง ที่จะเป็นหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยนโยบายต่างๆ จะมีการหารือร่วมกันเพื่อนำเสนอผ่าน ครม.เศรษฐกิจ ก่อนเข้าสู่การพิจารณาของครม.ชุดใหญ่ต่อไป และคาดว่าจะมีการประชุมครม.เศรษฐกิจนัดแรกในเร็วๆ นี้ โดยขอให้ประชาชนสบายใจได้ว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะทำงานร่วมกันได้อย่างดี


ส่วนแผนการขับเคลื่อนนโยบายช่วง 3 เดือนแรกนั้น กระทรวงพลังงาน ถือเป็นหนึ่งในกระทรวงหลักที่จะช่วยดูแลผลกระทบให้กับพี่น้องประชาชน สร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยนโยบายหลักที่จะขับเคลื่อนในระยะต่อไปหนีไม่พ้นทิศทางพลังงานของโลก ภายใต้กรอบ การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ที่เกี่ยวของกับพลังงานใน 2 เรื่องหลัก คือ 1. Affordable และ2.Clean Energy ซึ่งได้มอบนโยบายให้กับผู้บริหารกระทรวงพลังงาน ว่าจากนี้ไป อยากให้พลังงานเป็นเรื่องของทุกคน (Energy for all) เพราะในอนาคตรูปแบบการใช้และการผลิตพลังานจะเปลี่ยนไป ซึ่งผู้บริโภคกลายเป็นผู้ผลิตและผู้ขายไฟฟ้ากลับเข้าสู่ระบบ (prosumer)


โดยจากนี้ไปอยากเห็นพลังงานช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่หุ้นพลังงานที่จะทยายขึ้นเท่านั้น แต่หุ้นพลังงานจะต้องแข็งแกร่งขึ้น เพราะเรื่องพลังงานจะไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่จะต้องออกไปเติบโตนอกประเทศด้วย โดยใช้จุดแข็งของประเทศในการเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ( Center of ASEAN) เชื่อมโยงเรื่องของพลังงานในภาพใหญ่ ภายใต้นโยบายเรื่องแรก คือ ศูนย์กลางไฟฟ้าของอาเซียน ( Center Energy of ASEAN) ซึ่งจะผลักดันให้ไทยเป็นเทรนเดอร์ของอาเซียน โดยอุตสาหกรรมพลังงานของไทยจะได้รับการส่งเสริมขยายการลงในต่างประเทศ


เรื่องที่สอง คือ การส่งเสริมพลังงานบนดิน ใช้ฐานการเป็นประเทศเกษตรกรรม ดึงเรื่องของพืชน้ำมันขึ้นมาอยู่ในแผน 3 เดือน โดยจะปรับโครงการสร้างไบโอดีเซล เพื่อแก้ปัญหาสต็อกน้ำมันปาล์มดิบ(CPO)ล้นตลาดที่เรื้อรังมากว่า 30 ปี จากปัญหาโอเวอร์ซัพพลาย ซึ่งประเทศไทยเองมีการผลิตปาล์มดิบเพียง 10%ของโลก น้อยกว่าอินโดนีเซียและมาเลเซียที่มีกำลังผลิตถึง 90%ของโลก ฉะนั้น แค่แก้ปัญหาโอเวอร์ซัพพลายในประเทศให้ได้ก็จะเกิดสมดุล ซึ่งได้มอบหมายให้ปรับโครงสร้างไบโอดีเซลโดยผลัดดันสู่การใช้ ดีเซล บี10 เป็นน้ำมันพื้นฐานแทนดีเซล บี7 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และใช้บี 20 สำหรับกลุ่มรถขนาดใหญ่ ก็จะช่วยดูดซับCPO ราว 2 ล้านตันต่อปี จากผลิตประมาณ 3 ล้านตันต่อปี ก็จะสร้างสมดุมระหว่างดีมานด์และซัพพลาย ร่วมถึงราคาที่มีเสถียรภาพ


ส่วนการนำ CPO ไปใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้านั้น จะเป็นเพียงมาตรการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากการนำไปผลิตไฟฟ้าจะมีต้นทุนสูง


นอกจากนี้ ได้สั่งการให้ปรับแก้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ ปี2561-2580(พีดีพี 2018) โดยปรับเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงพลังงาน ผ่านการจัดตั้งโรงไฟฟ้าชุมชน ซึ่งเชื่อเพลิงจะมาจากโซลาร์เซลล์ ไบโอแก๊ส และไบโอแมส เป็นต้น ซึ่งเรื่องนี้จะเร่งรัดมให้เกิดขึ้นโดยเร็ว และเปิดโอกาสให้ภาคชุมชนเข้ามาร่วมลงทุน เพราะไฟฟ้าจะต้องไม่ใช่เรื่องของรายใหญ่เพียงคนเดียว อีกทั้งจะเปิดให้ขายไฟฟ้าส่วนเกินเข้าสู่ระบบได้ด้วย


ขณะเดียวกัน จะใช้กลไกของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน(กองทุนอนุรักษ์ฯ) ที่มีงบประมาณปีละกว่า 1 หมื่นล้านบาท เข้ามาช่วยสนับสนุนโครงการ โดยสั่งการให้ปรับเงื่อนไขหลักเกณฑ์ยื่นขอรับเงินสนับสนุนโครงการฯ เพื่ออนุมัติเงืนส่วนนี้ให้กับชุนชนเป็นหลัก


“ช่วง 3 เดือนแรก เราจต้องเร่งปรับตัว โดยปรับพื้นฐานพลังงานเข้าสู่ disruptive technology เช่นส่งเสริมระบบกักเก็บพลังงาน(energy storage) และจะร่วมมือกับต่างประเทศด้วย เพราะจะเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้เรื่องของไฟฟ้าชุชนประสบความสำเร็จและมีราคาถูกลง และในอนาคตอาจจะต้องร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงคลัง เพื่อส่งเสริมสตาร์ทอัพด้วย”
อย่างไรก็ตาม ยังได้มอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) พิจารณาแนวทางใช้พลังงานเป็นตัวแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยส่งเสริมให้โรงไฟฟ้าชุมชนเกิดขึ้น และให้ประชาชนที่อยู่รอบโรงไฟฟ้าได้รับสิทธิพิเศษในการใช้ไฟฟ้าในอัตราพิเศษ หรือ ใช้ไฟฟ้าฟรี เพราะเป็นผู้เสียสละอยู่ในพื้นที่ที่ตั้งโรงไฟฟ้า และเพื่อให้การขยายโรงไฟฟ้าในอนาคตทำได้ง่ายขึ้น รวมถึง จะร่วมมือกับกระทรวงการคลัง ปรับแนวทางการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยตัวจริงให้เข้าถึงการใช้ไฟฟ้าผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และในอนาคตจะเชื่อมโยงกับกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อให้ เอสเอ็มอี ใช้ไฟฟ้าในราคาถูก


นายสนธิรัตน์ ยังกล่าวอีกว่า เรื่องการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานนั้น กระทรวงพลังงานให้ความสำคัญกับการกระจายสัดส่วนเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าให้เหมาะสม ทั้ง ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และพลังงานทางเลือก โดยภายใน 1-2 วันนี้ ได้เรียกประชุมทีมงานกระทรวงพลังงาน ว่าจะปรับสัดส่วนพลังงานทางเลือกอย่างไร รวมถึงเรื่องก๊าซฯ นั้น จะต้องมีการวางแผนงานเพื่อดูแลความมั่นคงในระยะยาวด้วย