เลือกสะสมรายตัว

เลือกสะสมรายตัว

คาดดัชนีจะมีสลับรีบาวด์ในช่วงอ่อนตัวจากแรงซื้อหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยบวกสนับสนุน เช่น งบ 2Q19 เติบโตขึ้น รวมถึงหุ้นปันผลครึ่งปีเด่น

ลาดหุ้นวานนี้: SET Index รีบาวด์ขึ้น +5.48 จุด (+0.32%) ปิดที่ระดับ 1,711 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5 หมื่นล้านบาท ตามแรงซื้อ Technical rebound หลังดัชนีไม่หลุด 1,700 จุดประกอบกับแรงหนุนผลการประชุม FED ที่คาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง รวมถึงแรงซื้อกลุ่มพลังงานตามราคาน้ำมันดิบที่ดีดตัวขึ้น ส่วนนักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาขายสุทธิ 178 ล้านบาท และขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 768 ล้านบาท แต่ Net Long TFEX จำนวน 1,176 สัญญา

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้: เรามีมุมมองเป็นกลาง-ลบคาด SET อ่อนตัวทดสอบ 1,700 – 1,705 จุดก่อนจะสลับรีบาวด์ โดยแม้ว่า FED จะมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เป็น 2-2.25% และยุติการปรับลดงบดุลเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจและกระตุ้นเงินเฟ้อ แต่ไม่ส่งสัญญาณการลดดอกเบี้ยอีกในช่วงถัดไป ส่งผลให้เงิน US แข็งค่าขึ้น และ VIX index พุ่งขึ้นสู่ 16.12 จุด ซึ่งเป็นลบต่อทิศทาง Fund Flow ต่างชาติ  นอกจากนี้การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนที่ไม่มีความคืบหน้าส่งผลให้ภาวะ Trade war ยังคงกดดันต่อภาวะเศรษฐกิจโลกต่อไป โดยทั้ง 2 ฝ่ายจะกลับมาเจรจากันอีกครั้งในเดือนก.ย.ที่สหรัฐ อย่างไรก็ตาม คาดว่าดัชนีจะมีสลับรีบาวด์ในช่วงอ่อนตัวจากแรงซื้อหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยบวกสนับสนุน เช่น งบ 2Q19 เติบโตขึ้น รวมถึงหุ้นปันผลครึ่งปีเด่น

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่มที่คาดว่างบ 2Q19 จะเติบโตขึ้น ( EA, BGRIM, GPSC, CKP, TU, GFPT, TFG, CPALL, MTC, THANI, VGI, PLANB, MINT, VNT, WORK, MAJOR, JMT, PRM)
  • หุ้นปันผลครึ่งปีเด่น (INTUCH, ADVANC, KKP, TCAP, LH, QH)

หุ้นแนะนำวันนี้: KKP (ปิด 73 ซื้อ/เป้า 77 บาท) ราคาหุ้นยัง Laggard เมื่อเทียบกับ TISCO ( 3 เดือนที่ผ่านมา KKP +10% แต่ TISCO+20%) ทั้งที่ให้ Dividend yield ใกล้เคียงกันที่ 6-7%ต่อปี โดยที่ KKP มีปันผลระหว่างกาลขณะที่ TISCO จะจ่ายปันผลครั้งเดียว ณ ตอนสิ้นปี ประกอบกับตัวถ่วงของ KKP ใน 1Q19 คือธุรกิจหลักทรัพย์ แต่ปัจจุบันมูลค่าการซื้อขายปรับตัวขึ้นแล้วจึงไม่น่ากังวล อีกทั้งยังมีรายได้จากงาน IB ขนาดใหญ่หลายรายการ อาทิ ดีลควบรวม TMB + TBANK และ ดีล CRC ทำให้แนวโน้มกำไรน่าจะ Bottom ไปแล้ว, EA (ปิด 52.25 ซื้อ/เป้า 63) โดดเด่นในทุกธุรกิจ 1) ธุรกิจโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์และพลังงานลมคาดกำไรสุทธิทำ New high ต่อเนื่อง จากการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานลมโครงการหนุมานกำลังการผลิตรวม 260MW ซึ่งเริ่ม COD ตั้งแต่ 1Q19 แต่จะรับรู้รายได้เต็มไตรมาสตั้งแต่ 2Q19, 2) ธุรกิจไบโอดีเซลได้อานิสงส์ภาครัฐส่งเสริมการใช้ B10 และ B20 จากเดิม B7 และ 3) ธุรกิจแบตเตอร์รี่ ล่าสุดได้ Sentiment บวกหลังจากรมว.พลังงานคนใหม่ประกาศสส่งเสริมโครงการ Energy Storage อย่างจริงจัง

KSS report วันนี้Media sector (Top pick: WORK, VGI)

ประเด็นสำคัญวันนี้:          

  • (+/-) Fed ลดดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด แต่ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าจะลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป: คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินสหรัฐ (FOMC) มีมติ 8-2 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 2.00-2.25% นับเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี หรือนับตั้งแต่เกิด Hamburger Crisis อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นดาวโจนส์กลับตอบรับในทางลบโดยดาวโจนส์ลดลงแรงกว่า 334 จุด (-1.23%) ปิดที่ระดับ 26,864 จุด เนื่องจากผิดหวังที่ถ้อยแถลงของเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในการประชุมที่จะมีขึ้นในครั้งถัดๆไป พร้อมกับระบุว่าการลดดอกเบี้ยครั้งนี้ไม่ได้เป็นจุดเริ่มต้นของซีรีย์ในการลดดอกเบี้ยเหมือนกับที่ตลาดคาด แต่เป็นการลดดอกเบี้ยสำหรับป้องกันความเสี่ยงในช่วงขาลงเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ และเป็นการกระตุ้นเงินเฟ้อเท่านั้น ซึ่งการส่งสัญญาณดังกล่าวผลักดันให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอาจจะเป็นลบต่อ Fund flow ไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ในระยะสั้น (Dollar Index เพิ่มขึ้นจาก 98 เป็น 98.82) ส่วนคาดการณ์ของตลาด (CME Group) ต่อการลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป (18 ก.ย.19) มีความน่าจะเป็นที่จะลดดอกเบี้ยเพียง 51.9% และอีก 48.1% คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.25% ตามเดิม
  • (+/-) เดือน ส.ค. คาด SET Index เสี่ยงปรับตัวลงในช่วง 2 สัปดาห์แรกของเดือน แต่ช่วงท้ายจะกลับมาปิดบวก กลยุทธ์เน้นกลุ่มธุรกิจที่จะเริ่มเข้าสู่ช่วง High season, ได้ประโยชน์จากมาตรรัฐ และมีปันผลระหว่างกาล Top pick – AMATA, BCH, CHG, CPALL และ CPF : SET Index เดือน ก.ค. ลดลง 1.1% ส่วนพอร์ตลงทุนของเราให้ผลตอบแทนเท่ากับตลาดที่ -1.1% เช่นกัน โดยมี WORK ให้ผลตอบแทนสูงสุดของพอร์ตที่ 15.4%  แนวโน้มเดือน ส.ค. คาด SET Index จะเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 1,680-1,750 จุด โดยมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลงในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกของเดือนหลังจากเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนในการลดดอกเบี้ยครั้งถัดไป และยังมีความเสี่ยงจากแรงขาย Sell on fact หลังการประกาศงบ 2Q19 ของบริษัทจดทะเบียนซึ่งส่วนใหญ่คาดผลกำไรจะออกมาชะลอตัว อย่างไรก็ตามเราคาดว่าดัชนีจะกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้งในช่วงปลายเดือน จากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่จะเป็นรูปธรรมมากขึ้น และเชื่อว่าตัวเลขเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของสหรัฐจะยังไม่ดีทำให้ตลาดจะกลับมาคาดหวังถึงการลดดอกเบี้ยของเฟด อีกครั้งในการประชุมที่จะมีขึ้นในเดือน ก.ย.หรือ ต.ค.ซึ่งจะหนุนให้ Fund Flow จากต่างชาติกลับมาไหลเข้า กลยุทธ์ยังเป็น Selective buy เน้นกลุ่มธุรกิจที่จะเริ่มเข้าสู่ช่วง High season (โรงพยาบาลและส่งออกอาหาร), ได้ประโยชน์จากมาตรการรัฐ (ค้าปลีก,นิคมฯ และ มีปันผลระหว่างกาล Top pick เดือน ส.ค. AMATA, BCH, CHG, CPALL, และ CPF